ค้นหาบทความ 🙄





8/05/68

จากทหารเขมรแดง สู่ผู้นำกัมพูชาผู้รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ... ฮุน เซน

วิถีแห่งการปกครองของเขาเต็มไปด้วยการ รวบอำนาจ กำจัดคู่แข่ง และการละเมิดหลักการประชาธิปไตย ซึ่งทำให้เขาถูกตราหน้าว่าเป็น ผู้นำเผด็จการ ที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจ ความมั่งคั่งมหาศาลของครอบครัว


From  Khmer Rouge Soldier


สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน
: จากทหารเขมรแดง สู่ผู้นำกัมพูชา ผู้รวบอำนาจเบ็ดเสร็จ

   สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน คือ  ชื่อที่อยู่คู่กับการเมืองกัมพูชามายาวนานกว่า 40 ปี เขาคือบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางของประเทศกัมพูชา  ตั้งแต่การเข้าร่วมกับเขมรแดง  การเป็นนายกรัฐมนตรี ที่อายุน้อยที่สุดในโลก ไปจนถึง การเป็นผู้นำเบ็ดเสร็จที่ควบคุมอำนาจรัฐอย่างเด็ดขาด เรื่องราวชีวิตของเขา  สะท้อนถึงความผันผวนทางการเมืองของกัมพูชา และยุทธวิธีในการรักษาอำนาจที่ซับซ้อน 

ปฐมบทชีวิตและการผันตัวสู่เขมรแดง :

   ฮุน เซน  ( เขมร : សម្តេចអគ្គមហាសេនាបតី តេជោ ហ៊ុន សែន สมฺเตจอคฺคมหาเสนาบตี เตโช หุน แสน)
 เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2495   (ตามการระบุในภายหลัง แต่บางแหล่งระบุ 4 เมษายน พ.ศ. 2495)   ในหมู่บ้านชนบท ปะอัง อำเภอสตึงตรัง จังหวัดกำปงจาม  ในครอบครัวชาวนาเชื้อสายจีน-เขมร ที่ค่อนข้างยากจน เขาเป็นบุตรคนที่สาม  จากทั้งหมดหกคน  

     ฮุน เซน  มีโอกาสได้ศึกษาในวัด  ตั้งแต่ยังเด็ก  ที่เมืองพนมเปญ ก่อนจะกลับสู่บ้านเกิด  และเข้าร่วมกับ ขบวนการเขมรแดง   ในปี พ.ศ. 2513  ขณะที่ยังเป็นวัยรุ่น ภายใต้ชื่อจัดตั้ง สหายป็อก (Comrade Pok)   การเข้าร่วมขบวนการนี้  เกิดขึ้นในช่วงสงครามกลางเมืองกัมพูชา ซึ่งเป็นผลพวงจากการที่สหรัฐฯ ขยายสงครามเวียดนาม  เข้ามาในกัมพูชาและโค่นล้มสมเด็จฯ สีหนุ ... 

    เขมรแดง  ในขณะนั้น เป็นขบวนการที่ได้รับความนิยมจากชาวชนบทจำนวนมาก  ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม 



    ...  ฮุน เซน ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองร้อยในกองทัพปฏิวัติกัมพูชาประชาธิปไตย และมีส่วนร่วมในการต่อสู้ จนสามารถโค่นล้มรัฐบาลสาธารณรัฐเขมรของนายพลลอน นอล ได้สำเร็จในปี พ.ศ. 2518 แต่ภายใต้ระบอบ กัมพูชาประชาธิปไตย ของพอล พต  ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปีเดียวกัน กลับกลายเป็นยุคแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (The Cambodian Genocide) ที่โหดร้าย การใช้แรงงานบังคับ การสังหารหมู่ และการทำลายล้างทางสังคม ได้คร่าชีวิตชาวกัมพูชาไปประมาณ 1.5 - 3 ล้านคน ฮุน เซน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจนี้  เริ่มมีความไม่เห็นด้วย กับนโยบายที่บ้าคลั่งของพอล พต และกลุ่มแกนนำเขมรแดง

การแปรพักตร์และเส้นทางสู่อำนาจ :

     จุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของฮุน เซน เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2520  เมื่อเขาตัดสินใจ แปรพักตร์ และหลบหนีข้ามพรมแดน  ไปยังประเทศเวียดนาม พร้อมกับนายทหารเขมรแดง  อีกหลายนาย การตัดสินใจครั้งนี้  ไม่ได้เกิดจากอุดมการณ์ประชาธิปไตย แต่เป็นการเอาตัวรอดจากการถูกกวาดล้างภายในระบอบเขมรแดงเอง  ที่เริ่มมีการ "กวาดล้างภายใน"  ผู้ที่ถูกสงสัยว่า  ไม่ภักดีต่อ  พอล พต    

    ณ ประเทศเวียดนาม   ฮุน เซน ได้รับการสนับสนุน  และร่วมมือกับผู้นำเวียดนามในการจัดตั้ง แนวร่วมสามัคคีสงเคราะห์ชาติกัมพูชา (Kampuchean United Front for National Salvation - KUFNS)  ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อโค่นล้มระบอบเขมรแดง

     ในวันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2522   กองทัพเวียดนามได้รุกรานกัมพูชา  และสามารถโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงได้สำเร็จ รัฐบาลใหม่  ที่ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม คือ สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา ( People's Republic of Kampuchea - PRK)  ซึ่งฮุน เซน ได้รับบทบาทสำคัญอย่างรวดเร็ว เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็น รัฐมนตรีต่างประเทศ และต่อมาในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2528 ก็ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ด้วยวัยเพียง 33 ปี ทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่อายุน้อยที่สุดในโลกในขณะนั้น

     ตลอดทศวรรษ 1980   ฮุน เซน ได้เสริมสร้างอิทธิพล  และฐานอำนาจของตนเองอย่างต่อเนื่อง เขามีบทบาทสำคัญในการเจรจาสันติภาพ  กับกลุ่มฝ่ายต่อต้านต่างๆ ซึ่งนำไปสู่ ข้อตกลงสันติภาพปารีส (Paris Peace Accords) ในปี พ.ศ. 2534 ซึ่งปูทางไปสู่การเลือกตั้งภายใต้การดูแลของสหประชาชาติ

การเมืองแห่งการรวบอำนาจ
: จากนายกรัฐมนตรีร่วมสู่ผู้นำเบ็ดเสร็จ 

     ภายหลังข้อตกลงสันติภาพปารีส  องค์การสหประชาชาติ ได้เข้ามาจัดการเลือกตั้งทั่วไป  ในปี พ.ศ. 2536 ซึ่งถือเป็นการพลิกโฉมการเมืองกัมพูชา  สู่ระบอบประชาธิปไตยหลายพรรค พรรคฟุนซินเปก (FUNCINPEC) ของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ได้รับชัยชนะเหนือพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People's Party - CPP) ของฮุน เซน แต่ด้วยความไม่เต็มใจ  ที่จะส่งมอบอำนาจ และเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่สงครามกลางเมืองอีกครั้ง จึงได้มีการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่มี นายกรัฐมนตรีสองคน คือ สมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 และ ฮุน เซน เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2

เหตุการณ์รัฐประหาร พ.ศ. 2540 และการกำจัดคู่แข่ง :

    การจัดตั้งรัฐบาลนายกฯ สองคนนำไปสู่ความขัดแย้งภายในอย่างรุนแรง เนื่องจากฮุน เซน ไม่ต้องการที่จะแบ่งปันอำนาจกับสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ จุดแตกหักมาถึงในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2540 เมื่อ ฮุน เซน สั่งการให้กองกำลัง ที่ภักดีต่อตนเอง เข้าโจมตีกองกำลังของพรรคฟุนซินเปก ในกรุงพนมเปญ ซึ่งนำไปสู่การปะทะกันอย่างดุเดือด เหตุการณ์นี้  ถูกประณามอย่างกว้างขวางจากนานาชาติว่า  เป็นการทำรัฐประหาร ที่โค่นล้มอำนาจของสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ซึ่งต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รวมถึงแกนนำของพรรคฟุนซินเปก  และผู้เห็นต่าง ....

.... ฮุน เซน ได้ขึ้นมาเป็น นายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และเป็นการตอกย้ำถึงความพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงเพื่อรักษาและรวบอำนาจ

การจำกัดบทบาทพรรคฝ่ายค้าน
และประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม :
  • หลังจากการยึดอำนาจในปี 2540 ฮุน เซน ได้ใช้กลยุทธ์ต่างๆ ในการ จำกัดและทำลายพรรคฝ่ายค้าน อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่าพรรค CPP จะยังคงครองอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ 

  • ฮุน เซน ได้แต่งตั้งบุคคลที่ภักดีต่อตนเองและพรรค CPP เข้าไปดำรงตำแหน่งสำคัญในกองทัพ ตำรวจ ศาล และสื่อมวลชน ทำให้ยากต่อการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ

  • มีการออกกฎหมายที่เอื้อประโยชน์ต่อการรวบอำนาจและจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการรวมกลุ่มของประชาชนและพรรคฝ่ายค้าน

  • แกนนำพรรคฝ่ายค้านจำนวนมาก เช่น นายสม รังสี และนายแกม สุขา ถูกดำเนินคดี ด้วยข้อหาต่างๆ เช่น กบฏ หรือหมิ่นประมาท และต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ หรือถูกจำคุก 

  • ในปี พ.ศ. 2560 พรรคกู้ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก  และเป็นคู่แข่งสำคัญของพรรค CPP ได้ถูกศาลสูงสุดสั่งยุบพรรคในข้อหากบฏ โดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน การยุบพรรคครั้งนี้  ทำให้การเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2561 พรรค CPP สามารถกวาดที่นั่งในรัฐสภาไปได้เกือบทั้งหมด ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เสรีและไม่เป็นธรรม

  • ฮุน เซน ได้วางแผนการสืบทอดอำนาจ  ให้แก่ นายพลฮุน มาเนต บุตรชายคนโต ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ทำให้เกิดข้อกังวลว่าอำนาจทางการเมืองจะถูกผูกขาดอยู่ในตระกูลของเขาต่อไป

        พฤติกรรมเหล่านี้  ทำให้หลายฝ่ายมองว่า  กัมพูชาภายใต้การนำของฮุน เซน ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็น ประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยม   (Authoritarian Democracy) หรือบางครั้งเรียกว่า ประชาธิปไตยปลอม (Sham Democracy)  ที่มีการเลือกตั้งแต่ไม่มีการแข่งขันที่เป็นธรรม และอำนาจยังคงถูกรวมศูนย์อยู่ที่ผู้นำสูงสุด 


อำนาจของฮุน เซน เหนือกษัตริย์กัมพูชา 

      เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า  ในทางปฏิบัติแล้ว สมเด็จฯ ฮุน เซน มีอำนาจเหนือกว่า  สถาบันกษัตริย์กัมพูชา แม้ว่ากษัตริย์จะเป็นประมุขของรัฐตามรัฐธรรมนูญ  และมีสถานะเป็นสัญลักษณ์ของเอกภาพแห่งชาติ แต่บทบาททางการเมืองของกษัตริย์กัมพูชามีจำกัดอย่างมาก  และถูกกำหนดไว้ภายใต้กรอบของระบอบรัฐธรรมนูญ

  •  ฮุน เซน ได้รับการสนับสนุนจากเวียดนาม  และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลหลังการล่มสลายของเขมรแดง ในขณะที่กษัตริย์นโรดม สีหนุ ( พระบิดาของสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี กษัตริย์องค์ปัจจุบัน) ต้องใช้เวลากลับคืนสู่การเมือง และมีบทบาทที่จำกัดมากขึ้นหลังข้อตกลงสันติภาพปารีส
     การควบคุมกลไกรัฐอย่างเบ็ดเสร็จ : พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ภายใต้การนำของฮุน เซน ได้ควบคุมทุกเสาหลักของอำนาจรัฐอย่างสมบูรณ์ ทั้งกองทัพ ตำรวจ ศาล ระบบราชการ และสื่อมวลชน การควบคุมเหล่านี้ทำให้ฮุน เซน สามารถกำหนดนโยบายและทิศทางของประเทศได้อย่างเด็ดขาดโดยไม่ต้องอาศัยการอนุมัติหรือการรับรองจากสถาบันกษัตริย์ในทางปฏิบัติ

  • บทบาทของกษัตริย์ที่จำกัดโดยรัฐธรรมนูญ 
    รัฐธรรมนูญกัมพูชากำหนดให้กษัตริย์ทรงเป็นประมุขของรัฐและเป็นสัญลักษณ์ของเอกภาพแห่งชาติ แต่ทรงไม่มีอำนาจทางการเมืองที่แท้จริง กษัตริย์ทรงเป็น "ผู้ทรงปกครองแต่ไม่ทรงบริหาร" (Reign, but not rule) การแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีก็เป็นไปตามมติของรัฐสภา ซึ่งพรรค CPP ของฮุน เซน ครอบงำอยู่แล้ว

  • คณะองคมนตรีที่ปรึกษากษัตริย์  ก็มักประกอบไปด้วยบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรค CPP หรือเป็นอดีตนักการเมืองของพรรค ทำให้บทบาทของคณะองคมนตรีไม่ได้เป็นอิสระอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ฮุน เซนยังดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีอีกด้วย

  • ความเกรงใจและการอยู่รอด : สถาบันกษัตริย์กัมพูชา โดยเฉพาะสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี กษัตริย์องค์ปัจจุบัน ทรงเลือกที่จะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างแข็งขัน เพื่อรักษาเสถียรภาพของสถาบัน และหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับรัฐบาลที่มีอำนาจแท้จริง ประวัติศาสตร์ได้สอนบทเรียนเกี่ยวกับชะตากรรมของสถาบันกษัตริย์  ที่พยายามเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากเกินไป 
   แม้ว่ากษัตริย์กัมพูชา  จะยังคงเป็นที่เคารพและเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนในเชิงสัญลักษณ์ แต่ อำนาจทางการเมืองที่แท้จริงทั้งหมด อยู่ในมือของ ฮุน เซน และพรรค CPP มาอย่างยาวนาน ทำให้สามารถพูดได้ว่า ฮุน เซน "อยู่เหนือกษัตริย์" ในแง่ของอำนาจการบริหารและการปกครองประเทศ


จักรวรรดิธุรกิจและความมั่งคั่งของตระกูลฮุน

     ประเด็นเรื่องความรํ่ารวยมหาศาลของ ฮุน เซน และครอบครัว เป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง จากนานาชาติ และองค์กรภาคประชาสังคม รายงานขององค์กรอย่าง Global Witness ในปี พ.ศ. 2559 ที่ชื่อว่า "Hostile Takeover : The Corporate Empire of Cambodia’s Ruling Family"   ได้เปิดโปงเครือข่ายธุรกิจขนาดใหญ่ที่ครอบครัวของฮุน เซน เป็นเจ้าของหรือมีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง 

การผูกขาดทางเศรษฐกิจ  ครอบครัวฮุน เซน และเครือญาติสนิท ถือครองหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเอกชนหลายสิบแห่ง ซึ่งครอบคลุมเกือบทุกภาคส่วนเศรษฐกิจที่สำคัญของกัมพูชา ได้แก่  
  • การถือครองสัมปทานเหมืองแร่ และพลังงาน ซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ
  • การนำเข้า-ส่งออกสินค้า การผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค และการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ
  • การเป็นเจ้าของที่ดินจำนวนมหาศาล การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ และการได้สัมปทานโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ 
  • ด้านการเงินและการธนาคาร  การมีส่วนร่วมในการลงทุนในภาคการเงิน
  • การเป็นเจ้าของธุรกิจโรงแรม รีสอร์ต และสถานที่ท่องเที่ยว
  • การมีผลประโยชน์ในบริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่
      การที่บุคคลในครอบครัวและเครือญาติสนิทของฮุน เซน เข้าไปมีส่วนร่วมในธุรกิจเหล่านี้ ทำให้เกิดข้อสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับ การใช้ตำแหน่ง และอำนาจทางการเมือง  ในการเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจ (Cronyism) และการทุจริตคอร์รัปชัน การผูกขาดทางเศรษฐกิจนี้  ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และทำให้ความมั่งคั่งกระจุกตัวอยู่ในกลุ่มคนเพียงหยิบมือ ซึ่งนำไปสู่ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม อย่างรุนแรงในกัมพูชา 




     แม้จะมีการเปิดเผยข้อมูลและถูกวิพากษ์วิจารณ์จากภายนอก รัฐบาลฮุน เซน มักจะปฏิเสธข้อกล่าวหาเหล่านี้ โดยมองว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายใน และไม่มีการดำเนินการตรวจสอบหรือลงโทษใดๆ ที่เป็นรูปธรรม ทำให้ความมั่งคั่งของตระกูลฮุนยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง


วิกฤตปราสาทพระวิหาร (พ.ศ. 2551-2554) 

     ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุด  เกิดขึ้นหลังจากการที่ องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 โดยที่กัมพูชาเป็นผู้เสนอเพียงฝ่ายเดียว และมีการโอนสัญชาติพลเมืองเขมรให้แก่นายวีรศักดิ์ สุพรรณโภคานนท์ ที่ดินในเขตที่ไทยได้ปกครอง  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งอยู่ระหว่างการตีความเขตแดน การกระทำดังกล่าว  จุดชนวนความไม่พอใจอย่างรุนแรงในประเทศไทย และนำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารบริเวณชายแดน มีการปะทะกันด้วยอาวุธอย่างต่อเนื่องหลายครั้ง ในช่วงปี พ.ศ. 2551-2554 ที่บริเวณรอบปราสาทพระวิหาร  และพื้นที่ทับซ้อนอื่นๆ เช่น ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย

    ฮุน เซน ได้ใช้ประเด็นนี้อย่างเต็มที่ในการ ปลุกกระแสชาตินิยม ภายในประเทศ เพื่อรวมใจประชาชนและสร้างความชอบธรรมให้แก่การปกครองของตน เขามักกล่าวหาประเทศไทยว่า "รุกราน" และ "ละเมิดอธิปไตย" ของกัมพูชาอยู่เสมอ โดยมีวาทะที่แข็งกร้าว  และยั่วยุต่อประเทศไทยอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งยิ่งเพิ่มความตึงเครียดให้กับความสัมพันธ์


คำตัดสินของศาล ICJ และผลกระทบที่เกิดขึ้น

       ในเดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ  (International Court of Justice - ICJ)   มีคำตัดสินให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือ พื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร (Phnom Kulen) และให้ประเทศไทยถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ดังกล่าว คำตัดสินนี้ทำให้ความตึงเครียดลดลงไปบ้าง แต่ประเด็นการปักปันเขตแดนโดยรอบปราสาทยังคงเป็นเรื่องที่ต้องเจรจากันต่อไป ฮุน เซน ใช้คำตัดสินนี้ในการเฉลิมฉลองชัยชนะและตอกย้ำถึงการอ้างสิทธิ์ของกัมพูชา

การใช้ไทยเป็นเครื่องมือทางการเมือง 

     นอกเหนือจากประเด็นปราสาทพระวิหาร ฮุน เซน ยังเคยมีท่าที  และคำพูดที่สร้างความขัดแย้งกับประเทศไทย ในประเด็นอื่นๆ อีกด้วย เช่น การให้ที่พักพิงแก่นักการเมืองไทย ที่หลบหนีคดีอาญา, การวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์การเมืองภายในของประเทศไทย หรือการกล่าวหาไทยในประเด็นที่เกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติ  ....  การกระทำเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวทางการทูตที่แข็งกร้าว และการใช้ความสัมพันธ์กับประเทศไทยเป็น เครื่องมือทางการเมือง เพื่อสร้างประโยชน์และภาพลักษณ์ให้กับตนเองภายในประเทศ

สมเด็จฯ ฮุน เซน กับข้อกล่าวหาเรื่อง
 "สแกมโบเดีย" และคอลเซ็นเตอร์

    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศกัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ตามแนวชายแดน เช่น เมืองสีหนุวิลล์ และเมืองปอยเปต ได้กลายเป็นศูนย์กลางของ "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" และ "สแกมเมอร์ออนไลน์" ( หรือที่มักเรียกรวม ๆ ว่า "แก๊งค์สแกม" หรือ "ไซเบอร์สแกม") ที่ทำการหลอกลวงประชาชนในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย จีน และเวียดนาม

      มีข้อกล่าวหาว่ารัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของฮุน เซน (และรัฐบาลของลูกชาย ฮุน มาเนต ในปัจจุบัน) มี
การนิ่งเฉย หรือการมีส่วนรู้เห็น  ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง   ในการปราบปรามแก๊งเหล่านี้ หรือแม้กระทั่ง อาจมีเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเข้าไปมีส่วนรู้เห็นหรือได้รับผลประโยชน์ จากการปล่อยให้แก๊งเหล่านี้ดำเนินกิจการได้

       การที่กัมพูชาเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติจำนวนมาก  โดยเฉพาะจากจีน ทำให้มีนักลงทุนเข้ามาตั้งกิจการที่ซับซ้อน ซึ่งบางส่วนกลายมาเป็นฐานปฏิบัติการของแก๊งสแกมเหล่านี้ และการดำเนินการปราบปรามมักทำในลักษณะ "ผักชีโรยหน้า" หรือเมื่อถูกกดดันอย่างหนักจากต่างประเทศเท่านั้น

       ด้านแรงงานที่ถูกหลอกไปทำงานในแก๊งสแกมเหล่านี้จำนวนมาก เป็นคนไทยและคนต่างชาติอื่นๆ ที่ถูกบังคับใช้แรงงานเยี่ยงทาส ถูกทำร้ายร่างกาย และกักขังหน่วงเหนี่ยว ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาธรรมาภิบาลและการบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอในบางพื้นที่ของกัมพูชา

ปั่นกระแสชาตินิยม

     เครื่องมือในการสร้างความชอบธรรม ของฮุน เซน มักใช้ประเด็นเรื่อง "การปกป้องอธิปไตย" และ "ศักดิ์ศรีของชาติกัมพูชา"   โดยเฉพาะในกรณีพิพาท ปราสาทพระวิหาร มาเป็นเครื่องมือหลักในการ ปลุกระดมกระแสชาตินิยม ภายในประเทศในช่วงมีการเลือกตั้ง  มี
การรวมใจประชาชน  การสร้างศัตรูภายนอก (ในที่นี้ หมายถึง ประเทศไทย) ช่วยให้ฮุน เซน สามารถปั่นกระแสหลอกชาวกัมพูชา  ให้หันมารวมกันอยู่ภายใต้การนำของตนเอง และเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาภายในประเทศ เช่น ปัญหาความยากจน การคอร์รัปชัน หรือการขาดเสรีภาพทางการเมือง

     มีการสร้างภาพลักษณ์ผู้นำที่เข้มแข็ง  ด้วยการแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อประเทศไทย ทำให้ฮุน เซน ถูกมองว่าเป็นผู้นำที่กล้าหาญและพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความนิยมและบารมีทางการเมืองของท่าน

ใช้วิธีการโกหก และปล่อยข่าวเท็จโจมตีไทย

       วาทศิลป์ทางการเมือง ในช่วงความขัดแย้ง โดยเฉพาะกรณีปราสาทพระวิหาร ฮุน เซน และเจ้าหน้าที่รัฐบาลกัมพูชา มักมี การกล่าวอ้างที่เกินจริง บิดเบือนข้อเท็จจริง หรือสร้างข้อมูลเท็จ (Disinformation) เพื่อโจมตีประเทศไทย   ด้วยการอ้างว่าไทยรุกราน  ....  แม้ว่าพื้นที่ข้อพิพาทที่ฮุนเซนอ้างอยู่ตลอด ความจริงทั้งหมด  คือดินแดนอธิปไตยของประเทศไทย แต่  ฮุน เซน มักจะกล่าวหาว่าทหารไทย "รุกราน" อธิปไตยของกัมพูชาอยู่เสมอ โดยไม่คำนึงถึงบริบทของพื้นที่ทับซ้อนหรือการเจรจาที่ยังค้างคา ....

        มีการกล่าวหาไทย  ในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนของแรงงานกัมพูชาในไทย หรือการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมต่อชาวกัมพูชา ซึ่งบางครั้งก็เป็นข่าวที่ไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจน


      สื่อของรัฐกัมพูชาที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล มักจะถูกใช้เป็นช่องทางในการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลฮุน เซน และโจมตีฝ่ายตรงข้าม รวมถึงประเทศไทย   และมีการโกหก และปล่อยข่าวเท็จโจมตีไทย เป็นวิธีการสร้างแรงกดดันทางการทูตต่อประเทศไทย และดึงความสนใจจากประชาคมโลกให้มา สนับสนุนจุดยืนของกัมพูชา  ทั้งยังทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความไม่ไว้วางใจระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ 




เหตุการณ์รุกราน และโจมตี พลเรือนไทย
ในวันที่ 24 กรกฎาคม 2568

       จากรายงานของกองทัพไทย  และกระทรวงการต่างประเทศของไทย มีข้อกล่าวหาและหลักฐานที่ระบุว่าในวันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2568 กัมพูชาได้ดำเนินการโจมตีที่ส่งผลกระทบต่อพลเรือนไทยอย่างรุนแรง 

      เมื่อเวลาประมาณ 07.35 น. บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ โดยมีการตรวจพบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) ของกัมพูชาบินล้ำเข้ามาในเขตไทย และทหารกัมพูชาติดอาวุธ 6 นาย  ได้เคลื่อนเข้ามาประชิดแนวรั้วลวดหนามใกล้ฐานปฏิบัติการของไทย แม้ฝ่ายไทย จะพยายามเจรจาและส่งชุดประสานงานชายแดนไปแจ้งให้ทราบว่า  ไทยปิดการท่องเที่ยวปราสาทตาเมือนธม แต่การพูดคุยล้มเหลว และเวลาประมาณ 08.20 น. ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากยิงจากตำแหน่งห่างจากฐานทัพไทยประมาณ 200 เมตร ....

     สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่ง  คือการที่กระสุนปืนใหญ่และจรวดหลายลำกล้อง (BM-21) จากฝั่งกัมพูชาได้พุ่งเป้าไปยัง พื้นที่พลเรือน อย่างจงใจ ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในเขตแดนไทยถึง 10-30 กิโลเมตรจากชายแดน รายงานระบุว่า

  •  ปั๊ม ปตท. บ้านผือ ต.หนองหญ้าลาด อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ: มีจรวดตกลงใส่ ทำให้มีประชาชนเสียชีวิต 6 ราย และบาดเจ็บ 10 ราย
  • พื้นที่บ้านโจรก ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์: มีประชาชนเสียชีวิต 2 ราย (รวมเด็กชายอายุ 8 ขวบ 1 ราย) และบาดเจ็บ 2 ราย
  •  โรงพยาบาลพนมดงรัก จ.สุรินทร์ และ โรงเรียน ก็ถูกโจมตีด้วย
  • บ้านเรือนประชาชน ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ได้รับความเสียหาย และมีผู้เสียชีวิตรวม 9 ราย บาดเจ็บ 14 ราย (ข้อมูลเบื้องต้น ณ วันที่ 24 ก.ค.) และมีพลเรือนต้องอพยพกว่า 100,000 คน

        ฝ่ายไทย  ยืนยันว่าการกระทำของตนเป็นการป้องกันตนเองตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และประณามการโจมตีพลเรือน ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ไทยได้เรียกร้องให้ประชาคมโลก  และองค์กรระหว่างประเทศสอบสวนเหตุการณ์นี้อย่างอิสระและโปร่งใส เพื่อนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ

       ในทางกลับกัน ฝ่ายกัมพูชา โดยนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต (และสมเด็จฯ ฮุน เซน ในฐานะประธานพฤฒสภา) ได้กล่าวหาว่า  ไทยเป็นฝ่าย "รุกราน" และ "โจมตี โดยไม่มีการยั่วยุ ล่วงหน้า และจงใจ" และได้ร้องขอให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติจัดการประชุมฉุกเฉิน


        เหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 เป็นการปะทะชายแดนที่รุนแรง และฝ่ายไทยมีหลักฐานและข้อกล่าวหาที่ชัดเจนว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายเริ่มต้นโจมตี และมีการโจมตีเป้าหมายพลเรือนอย่างจงใจ โดยมีการระบุชื่อสมเด็จฯ ฮุน เซน ว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคำสั่งดังกล่าวครับ


สรุปชีวิตของสมเด็จฯ ฮุน เซน 

     คือประวัติศาสตร์  ที่มีชีวิตของกัมพูชา เขาได้นำพาประเทศออกจากความบอบช้ำจากสงครามกลางเมือง และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไปสู่ช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก ประชาชนยากลำบาก ประเทศเข้าสู่ภาวะยากจน ตลอดการปกครองประเทศในรูปแบบประชาธิปไตยบังหน้าของเขานานกว่า 40 ปี 

      วิถีแห่งการปกครองของเขาเต็มไปด้วยการ รวบอำนาจ การกำจัดคู่แข่ง และการละเมิดหลักการประชาธิปไตย ซึ่งทำให้เขาถูกตราหน้าว่าเป็น ผู้นำเผด็จการ ที่ใช้ทุกวิถีทางเพื่อรักษาอำนาจ ความมั่งคั่งมหาศาลของครอบครัวเขาได้สร้างคำถามเกี่ยวกับธรรมาภิบาลและการคอร์รัปชัน ขณะที่ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทยก็เต็มไปด้วยความผันผวนและขัดแย้งทางทหารและการเมือง




แปล/ เรียบเรียงโดย : facebook / Army Military Force


เรื่องที่เกี่ยวข้อง :





Admin Bee

สนับสนุน Misc.Today

นี่คือ ลิ้งค์พันธมิตร หรือที่เรียกว่า affiliate link ซึ่งหมายความว่า... หากคุณคลิ๊กลิ้งค์นี้ และซื้อผลิตภัณฑ์ อะไรก็ได้ ฉันจะได้ค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย สิ่งนี้จะช่วยสนับสนุนเว็บไซด์ และช่วยให้กำลังใจเราต่อไป


  ชาหมักคอมบูชะ Scoby doit  


 






 

คุณอาจสนใจ

5 บทความ ยอดนิยม ในรอบ 30 วัน

🟡 โพสต์แนะนำ

คริสเตียนไซออนนิสท์ คือใคร ? - Christian Zionist

ช่วงนี้ ผมติดตามหาข้อมูลเกี่ยวกับ อิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวประวัติศาสตร์เสียมาก เพราะผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า การที่เราจะ...

Popular Posts

แนะนำหนังสือ


  BOOKs OF THE DAY








ผู้สนับสนุน







Xiaomi Kingsmith Walking Pad

 Xiaomi Kingsmith Walking Pad R1 Pro/ R2 ลู่เดิน/วิ่งไฟฟ้า พับเก็บได้ สำหรับการออกกำลังกายภายในบ้าน >> คลิ๊กดูเพิ่มอีก


ป้ายกำกับ / Tag labels

2475 (1) กฎหมาย (5) กฐิน (2) กบฎ (1) กรรม (6) กระเป๋า (3) กรุงเทพฯ (21) กรุงศรีอยุธยา (12) กล้องถ่ายภาพ (7) กลอน (4) กลาโหม (9) กัมพูชา (5) การเกษตร (7) การขาย (2) การจัดเก็บ (4) การปกครอง (7) การแพทย์ (3) การเมือง (71) การลงทุน (1) การศึกษา (148) กิจกรรมกลางแจ้ง (2) กีฬา (3) เกษตร (3) เกี่ยวกับสัตว์ (16) ไกลกังวล (1) ขงจื้อ (1) ขนม (2) ขอมไม่ใช่เขมร (15) ขายชาติ (1) ขายบริการ (1) ข้าว (3) ข่าวสาร (23) ขิง (1) เขมร (26) โขน (2) คณะราษฎร (12) คติธรรม (1) คนเล่านิทาน (15) ครอบครัว (10) ครัว (1) ครู (6) ความเฉลียวฉลาด (10) ความเชื่อ (19) ความรู้ (196) คอมบูชะ (1) คอมมิวนิสต์ (34) คำภีร์ (2) คำสอน (14) เครื่องดื่ม (1) เครื่องบิน (7) เครื่องหมาย (1) เงินตรา (4) จอมพล ป. พิบูล (1) จอมพล ป. พิบูลสงคราม (13) จีน (56) ชา (1) ช้าง (1) ชายแดนใต้ (5) ชายแดนไทย-เขมร (10) ญี่ปุ่น (18) ดนตรีไทย (1) ดอกไม้ (1) เด็ก (5) เดนมาร์ก (1) ต้นไม้ (4) ตลาดนัด (1) ตลาดหุ้น (1) ตำนานเทพ (1) ตำรวจ (2) เตา (1) เตือนภัย (22) แต่งงาน (1) ไต้หวัน (1) ทรัพยากร (2) ทวิตเตอร์ (1) ทหาร (10) ท่องเที่ยว (28) ทะเล (3) ทักษิณ (1) ทัศนะ (74) ทำบุญ (5) ทำอาหาร (4) เทคโนโลยี (14) โทรศัพท์มือถือ (2) ธนบัตร (1) ธนาคาร (4) ธรณี (1) ธรรมชาติ (12) ธรรมในคำกลอน (1) ธรรมะ (6) ธรรมาธิปไตย (2) ธุรกิจ (12) นราธิวาส (3) นวดไทย (1) นักการเมือง (2) นักบิน (1) นักปรัชญา (2) นักเรียน (4) นางใน (1) นาซี (1) นายกรัฐมนตรี (5) น้ำมัน (1) นิทานพื้นบ้าน (1) นิยาย (3) นิวเคลียร์ (1) เนปาล (1) แนะนำสินค้า (42) โนรา (1) ในหลวง ร.10 (1) ในหลวงรัชกาลที่ 9 (15) บริการ (4) บริหาร (3) บ่อน (1) บัตรเครดิต (2) บัตรประชาชน (1) บาลีวันละคำ (6) บุคคล (44) บุญ (3) บุหรี่ (1) เบตง (1) แบรนด์ไทย (5) โบราณวัตถุ (13) โบราณสถาน (7) โบสถ์ (2) ประชาธิปไตย (64) ประท้วง (7) ประเทศไทย (199) ประธานาธิบดี (2) ประวัติศาสตร์ (156) ปรัชญาชีวิต (23) ปรีดี (2) ปลูกต้นไม้ (3) ปูติน (1) ผลไม้ (2) ผลิต (3) ผัก (1) ผิวสี (1) เผด็จการ (1) แผ่นดินไหว (3) แผนที่ (1) ฝรั่งเศส (6) พม่า (6) พยาบาล (2) พระเจ้าตากสินมหาราช (2) พระนเรศ (1) พระพุฒาจารย์ (1) พระพุทธเจ้า (2) พระราชกรณียกิจ (4) พระสงฆ์ (15) พราหมณ์ (1) พิธีกรรม (1) พิบูลสวัสดี (1) พิพิธภัณฑ์ (10) พุทธทาส (1) พุทธศาสนา (17) เพชรบุรี (3) เพลง (9) เพลงผ้า ปรพากย์ (1) แพทย์ (5) ฟาโรห์ (1) ไฟ (4) ไฟฉาย (1) ไฟฟ้า (1) ภัยพิบัติ (3) ภาคใต้ (6) ภาคอีสาน (1) ภาษา (14) ภาษิต (1) ภูเขาไฟ (1) ภูมิปัญญา (20) ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ (1) มวยไทย (5) มหาสมุทร (1) มาเลเซีย (1) มุมไบ (2) มุสลิม (2) แม่ (2) แมลง (1) ไม้ไผ่ (1) ยา (1) ยิว (3) ยูเครน (2) ยูนนาน (1) เยาวชน (1) เยาวราช (1) รถเมล์ (4) รองเท้า (2) รอบโลก (5) ระบบนิเวศน์ (1) ระเบิด (3) รัชกาลที่ ๒ (1) รัชกาลที่ ๔ (4) รัชกาลที่ ๕ (7) รัชกาลที่ ๖ (2) รัชกาลที่7 (9) รัชกาลที่ ๘ (6) รัฐประหาร (9) รัสเซีย (13) ราชาศัพท์ (1) รามเกียรติ์ (1) เรือ (3) เรื่องเก่า (82) เรื่องเล่า (28) โรค (6) โรคระบาด (5) โรงงาน (1) โรงพยาบาล (12) โรงเรียน (17) โรฮิงญา (1) ลอนดอน (1) ลอบสังหาร (1) ละคร (1) ลัทธิ (2) ลัทธิมาร์กซ์ (3) ล้านนา (3) ลาว (4) ลิง (1) เลือกตั้ง (9) โลก (10) โลกร้อน (5) วัฒนธรรม (2) วัด (14) วันแม่ (1) วันสำคัญ (5) วัยรุ่น (1) วิทยาศาสตร์ (10) วิทยุ (2) วิหาร (4) เวียดนาม (4) ไวรัล (1) ศัพท์ (2) ศาสนา (40) ศิริราช (5) ศิลปะ (6) ศิลปาชีพ (1) ศึกละแวก2 (6) เศรษฐกิจ (3) สงขลา (1) สงคราม (64) สถานีรถไฟ (1) สนามบิน (2) สเปน (1) สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร (2) สมัยเมจิ (1) สมุนไพร (1) สยาม (14) สวนสนุก (1) สวิตเซอร์แลนด์ (2) สังคม (49) สัตว์ปีก (1) สายสังคม (3) สำนวน (8) สิ่งประดิษฐ์ (14) สื่อ (4) สุขภาพ (20) สุภาพจิต (7) สุสาน (1) เสรีภาพ (1) ไสยศาสตร์ (1) หนังแท้ (4) หนังสือ (32) หนังสือพิมพ์ (1) หนัง AV (1) หนู (1) ห้องเรียน (4) เหมาเจ๋อตง (2) เหรียญ (1) อเมริกา (41) ออสเตรีย (1) อังกฤษ (6) อาชญกรรม (2) อาชีพ (5) อาหาร (15) อาหารจานโปรด (8) อิตาลี (3) อินเดีย (9) อิสราเอล (3) อียิปต์ (1) อีสาน (1) แอปพลิเคชัน (4) ไอร์แลนด์ (1) ฮุนเซน (10) ai (1) ChatGPT (1) cpr (1) deep state (1) democracy (1) Diarymisc (3) facebook (1) Gen Z (1) handmade (1) kombucha (1) leather (1) marxism (1) metaverse (1) nomad (6) Nuclear (1) OPENUP (1) powerbank (1) shopee (1) Social media (2) social science (3) social views (124) Sompob Pordi (8) startup (1) UNESCO (4) xiaomi (1)


Miscellaneous | Misc.Today 🌱 . ขับเคลื่อนโดย Blogger.

 
miscthailand