บทความโดย : Kittitouch Chaiprasith
17 เมษายน 2017
พวก เขมรแดง นี่แหละ คือ ตัวอย่างของกลุ่มคน ที่เรียกตัวเองว่า "ปัญญาชนหัวก้าวหน้า"
(หรือที่ผมตั้งชื่อให้ว่า "ลัทธิตาสว่าง" นั่นเอง) ...
ลองมาดูกันครับ ว่า เขมรแดงคือใคร ?
"เขมรแดง" นั้นเป็นชื่อเรียกเล่นๆ ที่คนอื่น เรียกขาน แต่ชื่อจริงๆของกลุ่มเขมรแดง คือ พรรคประชาธิปไตยกัมพูชา ( Parti du Kampuchéa démocratique )
ทีนี้ เรา มาดูกันว่า พรรคประชาธิปไตยกัมพูชา ที่ ต้องการจะ ปฏิวัติสังคม ให้ไปสู่ ความสว่างไสว
และ ศิวิไลซ์ตามตำราที่ร่ำเรียนกันมา มีสมาชิกเป็นใคร บ้าง
1. "พลพต" ( Polpot ) หรือ ซารอธ ซาร์ (Saloth Sar)
ตำแหน่ง หัวหน้าใหญ่ของ เขมรแดง
พลพต เป็นผู้ที่เป็นนักศึกษาทุนรัฐบาลกัมพูชา ให้ไป ศึกษาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ประเทศ "ฝรั่งเศส"
พลพต เป็นผู้ที่เป็นนักศึกษาทุนรัฐบาลกัมพูชา ให้ไป ศึกษาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า ที่ประเทศ "ฝรั่งเศส"
คนนี้ เราคงไม่ต้องพูดถึงเยอะ เพราะน่าจะรู้จักกัน ...
2. "นวน เจีย" (Nuon Chea) หรือ รุ่งเลิศ เหล่าดี อดีตนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เคยทำงานกับกระทรวงต่างประเทศไทย และ "พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย"
ก่อนจะย้ายไปช่วยบ้านเกิด และเปลี่ยนชื่อ ในเวลาต่อมา
ถ้าไปดูใน wikipedia ไทย ที่พูดถึง เขมรแดง จะไม่ปรากฏชื่อคนๆนี้ ทั้งที่ใน wikipedia ภาษาอังกฤษมีครบ เหมือนว่า ... บรรดาคนเขียนวิกีภาษาไทย จะไม่อยากให้รู้ว่าคนๆ นี้คือใครมีประวัติ
และเกี่ยวข้องกับเขมรแดงอย่างไรบ้าง?
*** ซึ่งน่าแปลก เพราะนวนเจียนั้นเป็นถึง สหายลำดับที่สอง" และเป็นถึง "มือขวา" ของพลพต อีกทั้งยังเป็นคนวางแผนการณ์ ไล่ฆ่าชนชั้นกลางในเมืองหลวง เพื่อให้สำเร็จ ตาม ทฤษฎีปฏิวัติประชาชน ตามที่ได้ร่ำเรียนมา
ถ้าไปดูใน wikipedia ไทย ที่พูดถึง เขมรแดง จะไม่ปรากฏชื่อคนๆนี้ ทั้งที่ใน wikipedia ภาษาอังกฤษมีครบ เหมือนว่า ... บรรดาคนเขียนวิกีภาษาไทย จะไม่อยากให้รู้ว่าคนๆ นี้คือใครมีประวัติ
และเกี่ยวข้องกับเขมรแดงอย่างไรบ้าง?
*** ซึ่งน่าแปลก เพราะนวนเจียนั้นเป็นถึง สหายลำดับที่สอง" และเป็นถึง "มือขวา" ของพลพต อีกทั้งยังเป็นคนวางแผนการณ์ ไล่ฆ่าชนชั้นกลางในเมืองหลวง เพื่อให้สำเร็จ ตาม ทฤษฎีปฏิวัติประชาชน ตามที่ได้ร่ำเรียนมา
นวนเจีย เป็นคนเดียวที่ไม่ได้ "เรียนจบจากฝรั่งเศส" แต่จริงๆ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นลูกศิษย์สายอ้อมก็ได้ เพราะสุดท้าย นวนเจีย ก็ได้รับการปลูกฝังแนวคิดนี้ มาจากคนรอบข้าง รวมถึงรุ่นพี่ของเขมรแดงด้วย
4. "เขียว สัมพัน" (Khieu Samphan ) สหายอันดับที่สี่ และดำรงตำแหน่ง เป็น ประธานพรรคประชาธิปไตยกัมพูชา จบการศึกษาสูงถึงระดับ "ปริญญาเอก" ด้านเศรษฐศาสตร์การเมืองการปกครอง ที่ "มหาวิทยาลัยปารีส" ในปี ค.ศ. 1959 ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เขียว สัมพัน นั้น เป็นรุ่นน้องที่ใกล้เคียงกับ "ปรีดี พนมยงค์" มากที่สุดคนหนึ่ง เพราะจบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยปารีสเหมือนกัน และสาขาที่ศึกษาก็เหมือนกัน (ปรีดีจบปริญญาเอก ด้านกฎหมายปี 1926 ก่อนจะสอบได้
ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูง ในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง (Diplôme d'Etudes Supérieures d'Economie Politique) (ในฝรั่งเศส-ปารีส เวลานั้น แนวคิดแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ กำลังเป็นที่นิยม)
5. "ฮู ยวน" (Hou Yuon) นอกจากเขียว สัมพัน คนนี้ ก็เป็นรุ่นน้องของปรีดี อีกคนหนึ่ง นายฮูยวน นั้น ศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์และกฎหมายจนจบ ระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาปารีสเช่นกัน
โดยเขาขัดแย้งกับรัฐบาลแขมรแดงก่อนที่ จะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย... ?!
6. "ซอน เซน" (Son Sen) เช่นเดียวกับคนอื่นๆ เขาจบการศึกษาจาก ประเทศ "ฝรั่งเศส" ด้านศึกษาศาสตร์และวรรณกรรมที่สถาบัน Ecole Française de radioelectricité อีกทั้งมีความสนใจในด้านยุทธศาสตร์การทหาร เป็นอย่างมาก .. จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้า หน่วยสันติบาลของรัฐบาล ( ต่อมาโดนพลพต สั่งประหาร โดยข้อหา ทรยศ )
7. "เอียง ธิริธ" (Ieng Thirith) ซึ่งเป็น ภรรยาของนายเอียง ซารี ก็จบการศึกษา ด้านวรรณกรรมอังกฤษ จากประเทศฝรั่งเศส-ปารีส เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีด้านกิจการสังคม
8. "ฮู นิม" (Hou Nim) เช่นเดียวกับคนอื่น จบด้าน ป.ตรี ด้านกฎหมายจากฝรั่งเศส-ปารีส
ก่อนจะกลับมาสอนกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ ตอนหลังขัดแย้งกับพรรคเลยถูกจับประหาร
ปัญญาชนหัวก้าวหน้า จาก ฝรั่งเศส
เป็นไงบ้างครับ ประวัติของสมาชิกระดับแกนนำของกลุ่ม เขมรแดง หรือ คณะ "พรรคประชาธิปไตยกัมพูชา"
พวกเขา ไม่ได้เป็นพวก ป่าเถื่อน อย่างที่ ใครบางกลุ่มพยายามวาดภาพให้เป็นเลย ซึ่งเกือบทุกคนมีการศึกษาที่สูง เรียนจบการศึกษาจากประเทศ "ชั้นนำ" เช่น ปารีส-ฝรั่งเศส และหลายคน เรียนจบการศึกษาขั้นสูงระดับ ป.เอก ด้านรัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ
พวกเค้าเรียกตัวเองว่าเป็น ปัญญาชน และเป็นคน หัวก้าวหน้า ทั้งนั้นเลยนะครับ !!!
คนเหล่านี้ ได้รับอิทธิมาจากพรรคคอมมิวนิสต์ ก่อนจะทำการจัดตั้ง ขบวนการเพื่อปลดปล่อย
กัมพูชา ตามทฤษฎีทางรัฐศาสตร์ที่ถูกบ่มสอนมา ...
คำถามต่อมา คือ...
ทำไมกลุ่ม เขมรแดง ต้องเข่นฆ่าผู้คนมากมาย ถึง 2 ล้านกว่าคน?
( จากประชากร 7 ล้านคนของกัมพูชา )
คำตอบง่ายมาก ครับ นั่นก็เพราะ ในความคิด ของกลุ่มปัญญาชน จากปารีส กลุ่มนี้ ที่มีต่อ ชนชั้นกลาง และชนชั้นสูง (อีกจำนวนหนึ่ง) คือ คนชั่วร้าย , ดัดจริต , ตอแหล และเป็นพวกที่ คอยกดขี่คนชนชั้นล่าง เพราะไม่อยากเห็นคน ชนชั้นล่างเท่าเทียมตัวเอง โดยการล้างสมองผ่านวัฒนรรมและประเพณี รวมไปถึงศาสนา
***( ฟังดูคล้ายๆ กับที่พวกที่เรียกตัวเองว่า เป็นปัญญาชนและนักวิชาการหัวก้าวหน้า ที่อยู๋ในบ้านเรา (ประเทศไทย) พูดกันเลยไหมครับ ?? )
ดังนั้น เมื่อกลุ่มปัญญาชนหัวก้าวหน้า ที่ชื่อ "เขมรแดง" กลุ่มนี้ ได้รับการศึกษา จากที่ร่ำเรียนที่ประเทศฝรั่งเศส เดินทางกลับมาประเทศตนเอง จึงเล็งเห็นว่า "...ต้องทำการปลดปล่อยสังคมกัมพูชาอันล้าหลัง" เพื่อจะได้นำพา ความเป็นประชาธิปไตย ที่ประชาชนทุกคน มีความเท่าเทียมและเสมอภาคกันถ้วนหน้า ....
วิธีการ... ก็คือ บังคับและทรมาน ให้ชนชั้นกลาง , คนมีการศึกษาในเมือง ไปทำงานเป็นเกษตรกร ตาม "คอมมูน" (ที่นารวมของรัฐ) ในพื้นที่ชนบท โดยที่ คนที่ออกไปจากเมืองนั้น จะมีสถานะเป็น "ประชาชนชั้น 2" ต่างกับพวกเกษตรกรเดิม ที่อยู่ในชนบท ที่จะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า
วิธีการ... ก็คือ บังคับและทรมาน ให้ชนชั้นกลาง , คนมีการศึกษาในเมือง ไปทำงานเป็นเกษตรกร ตาม "คอมมูน" (ที่นารวมของรัฐ) ในพื้นที่ชนบท โดยที่ คนที่ออกไปจากเมืองนั้น จะมีสถานะเป็น "ประชาชนชั้น 2" ต่างกับพวกเกษตรกรเดิม ที่อยู่ในชนบท ที่จะได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่า
เขมรแดง ได้ทำการยกเลิก ขนบและวัฒนธรรมประเพณี ดั้งเดิม รวมไปถึง การสั่งห้ามศาสนาทั้งหมดในประเทศ เนื่องจาก ศาสนาทุกศาสนา ทำให้คนงมงาย และไม่เป็นวิทยาศาสตร์
ธุรกิจห้างร้าน กิจการ ต่างๆ ที่เป็นของเอกชน ทุกชนิดถูกสั่งห้ามให้มี !!!
ส่วนชนชั้นกลาง ที่ต้องสงสัยว่าเป็น พวกมีความคิดล้าหลัง และกดขี่ผู้อื่น ก็จะถูกจับไปเข้าค่าย และ เข่นฆ่าทิ้งเสีย ถึงขนาดว่า ประชาชนมีลักษณะบางประการ ที่จะสะท้อนว่าเป็นชนชั้นกลางที่มีการศึกษา "แบบล้าหลังด้อยพัฒนา" (ตามความเชื่อ ของปัญญาชนจากปารีส) เช่น ใส่แว่นตา...
ก็สามารถนำไปสู่การถูกจับกุม และสังหารทิ้ง ได้ !!! .... รวมถึงคนที่คิดจะหนีจากการทำงาน ในที่นารวม ของรัฐ (คอมมูน) ก็จะโดนฆ่า
ก็สามารถนำไปสู่การถูกจับกุม และสังหารทิ้ง ได้ !!! .... รวมถึงคนที่คิดจะหนีจากการทำงาน ในที่นารวม ของรัฐ (คอมมูน) ก็จะโดนฆ่า
ซึ่งนั่นคือ ... ที่มาของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้คน
กว่า 2 ล้านคน จากทั้งหมด 7 ล้านคนนั่นเอง !!
เมื่อลองมองย้อนมาคิดดู มันก็แปลกนะครับ ..... เพราะแกนนำ เขมรแดงทุกคน ก็เป็นชนชั้นกลาง
ที่ได้รับการศึกษาอย่างดี จนเรียนจบจาก ประเทศชั้นนำ อย่าง ฝรั่งเศส ( แถมนายเอียง ซารี เองก็ใส่แว่นด้วยสิ หุหุ )
แต่อาจจะเพราะ คนพวกนี้เค้าคิดว่า เค้าเป็นพวกที่ "ตาสว่างแล้ว" จึงต้องมาเป็นผู้นำ
ทางปัญญาให้กับชาวกัมพูชาก็เป็นได้... ....
จริงๆ ก็ไม่ต้องสงสัยครับว่า ทำไมคนที่ไปเรียนจบ จากฝรั่งเศส ในช่วงเวลานั้น แล้วกลับมา เป็นแบบนี้ ลองดูจาก รุ่นพี่ ของกลุ่มปัญญาชนเขมรแดง อย่าง หลายๆคน ในกลุ่ม #คณะราษฎร แล้วกันครับ ( กลุ่มคณะราษฎร์ เอง ก็ก่อตั้งที่ปารีส-ฝรั่งเศส ภายใต้บรรยากาศของแนวคิดเดียวกัน )
- ปรีดี พนมยงค์ นักเรียนวิชากฎหมาย ประเทศฝรั่งเศส
- ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ (จอมพล ป.) นักเรียนวิชาทหารปืนใหญ่ ประเทศฝรั่งเศส
- ประยูร ภมรมนตรี นักเรียนวิชารัฐศาสตร์ ประเทศฝรั่งเศส
- ร.ต.ทัศนัย มิตรภักดี นักเรียนวิชาทหารม้า ประเทศฝรั่งเศส
- จรูญ สิงหเสนี ผู้ช่วยราชการสถานทูตสยามในประเทศฝรั่งเศส
แต่ .... ก็หวุดหวิดไปเหมือนกันครับ !!!
เพราะประเทศไทย เกือบได้กลายเป็น ประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจแบบ คอมมิวนิสต์ หลุดมาทีหนึ่ง เช่นกัน หลังจากที่ ปรีดี พนมยงค์ ได้ผลักดัน เค้าโครงร่างเศรษฐกิจ ของตน กับสภาฯ โดยเค้าโครงร่างเศรษฐกิจ ฉบับนี้ มีเนื้อหา " ที่ได้รับอิทธิผลแบบคอมมิวนิสต์มาเต็มๆ" !!! ซึ่งเน้น ให้รัฐเป็นเจ้าของกิจการทั้งหลาย โดยเฉพาะ ที่ดินทางการเกษตร โดยรัฐจะรับซื้อ จากเอกชนให้หมด แล้วจ้างพวกชาวบ้าน มาทำการเกษตรแทน โดยจำกัดให้ประชาชน เป็นเจ้าของที่ดิน สำหรับอยู่อาศัยเท่านั้น ...
เพราะประเทศไทย เกือบได้กลายเป็น ประเทศที่มีโครงสร้างเศรษฐกิจแบบ คอมมิวนิสต์ หลุดมาทีหนึ่ง เช่นกัน หลังจากที่ ปรีดี พนมยงค์ ได้ผลักดัน เค้าโครงร่างเศรษฐกิจ ของตน กับสภาฯ โดยเค้าโครงร่างเศรษฐกิจ ฉบับนี้ มีเนื้อหา " ที่ได้รับอิทธิผลแบบคอมมิวนิสต์มาเต็มๆ" !!! ซึ่งเน้น ให้รัฐเป็นเจ้าของกิจการทั้งหลาย โดยเฉพาะ ที่ดินทางการเกษตร โดยรัฐจะรับซื้อ จากเอกชนให้หมด แล้วจ้างพวกชาวบ้าน มาทำการเกษตรแทน โดยจำกัดให้ประชาชน เป็นเจ้าของที่ดิน สำหรับอยู่อาศัยเท่านั้น ...
...เคราะห์ดี ของประเทศไทย ที่ร่างนี้ สร้างความแตกแยกในพวกเดียวกัน และไม่ผ่านสภาฯ ไปเสียก่อน...
อีกอย่าง ที่น่าประหลาดใจ ก็คือ... เดิม เนื้อหาในเว็บไซด์ สถาบันพระปกเกล้า
มีเนื้อหาเยอะกว่าที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบัน มีทั้งบทโตแย้งที่ในหลวง ร.7 ตอบโต้ เกี่ยวกับเรื่องเค้าโครงร่างฯ ดังกล่าวนี้ ปรากฎว่าเนื้อหา ที่ในหลวง ร.7 ตอบโต้นั้น ได้หายไปจากเวปไซท์สถาบันพระปกเกล้า ??!! แต่กลายเป็น มีเนื้อหาของนักวิชาการกลุ่ม ลัทธิตาสว่างอย่าง นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ
เข้ามาแทนเป็นจำนวนมาก !!!
ในทางกลับกัน เวลานี้ จะหาบทตอบโต้ของ ร.7 ต่อปรีดีนั้น กลับหายากมาก ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าเนื้อหาดังกล่าว มีความสำคัญมาก เพราะแสดงถึง วิสัยทัศน์ของรัชกาลที่ 7 ที่มองคนไทย
และสังคมไทย/สยามในเวลานั้นได้ทะลุ
และสังคมไทย/สยามในเวลานั้นได้ทะลุ
... ท่านทรงวิจารณ์ว่า... " คนไทยรักอิสระเสรี และบ้านเมืองเรานั้น ขึ้นชื่อว่าอุดมสมบูรณ์ ใครใคร่ค้า ค้า ใครใคร่ขาย ขาย ... ไม่มีเงิน ก็ไปปลูกพืชปลูกผักทำกินกันได้ ... ต่างกับในหลายประเทศ ที่เรื่องของอาหารการกิน เป็นเรื่องสำคัญ และ ขัดแย้งกันรุนแรง รวมถึง เรื่องที่ให้รัฐดำเนินกิจการเป็นหลัก ว่า ถ้ารัฐบาลเกิดพลาด ประชาชนไม่ต้องอดอยากกันทั้งประเทศ ?
หรือ แม้แต่เรื่อง ที่นายปรีดีเขียนระบุว่า คนที่ไม่ทำงาน ให้เหมาะสมกับแรงงานของตน หรือ หรือพวกชนชั้นกลาง ที่ทำงานเล็กๆ ถือว่าเป็น พวกหนักโลก !!!!!!
(*** สังเกตได้ว่าความคิดของปรีดีนั้น ค่อนข้างรุนแรง และได้รับอิทธิพลมาจากลัทธิสังคมนิยมอยู่ไม่น้อย)
การที่ นายปรีดี พยายามให้รัฐเทคโอเวอร์กิจการ แม้จะไม่ถึงขั้นบังคับแบบคอมมิวนิสท์อย่างสมบูรณ์แต่ก็เท่ากับเป็นการ "ริดรอนเสรีภาพของคนไทย" รวมถึง การที่พยายามไปยัดเยียดว่า คนอื่นเป็น "พวกหนักโลก" ก็เป็นสิ่งที่เลวร้ายอีกเช่นกัน ....
ยังไม่นับ การเป็นข้าราชการ ที่นายปรีดี อยากให้ คนรับราชการ เพราะคนไทยชอบทำราชการ ในหลวงก็ทรงวิจารณ์ ว่า ส่วนหนึ่งก็อาจจริง แต่นั่นหมายถึง เป็นราชการ แบบที่นั่งสั่งคน
ยังไม่นับ การเป็นข้าราชการ ที่นายปรีดี อยากให้ คนรับราชการ เพราะคนไทยชอบทำราชการ ในหลวงก็ทรงวิจารณ์ ว่า ส่วนหนึ่งก็อาจจริง แต่นั่นหมายถึง เป็นราชการ แบบที่นั่งสั่งคน
แบบนายปรีดี (อันนี้ท่านทรงประชดเลย)
*** ถ้าอ่านดูแล้ว จะเห็นได้ว่า นายปรีดีนั้น เอาทฤษฎีหลายๆ ทฤษฎีมาผสมๆ กันไป ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทฤษฎีพวกนี้มันทำได้จริงหรือไม่ ? หรือทำแล้ว จะเกิดผลอะไรกับบ้านเมืองบ้าง ?
ไม่อยากจะคิดว่า ถ้าตอนนั้นที่ นโยบาย นารวม ของนายปรีดี ถูกนำมาใช้จริง รวมถึงความคิดที่ว่าในคนไทย รับราชการเยอะๆ และรัฐเป็นคนดำเนินกิจการ แทบจะทุกอย่าง ในประเทศนี้ แทนเอกชน ตอนนี้ประเทศไทยจะมีสภาพไหนแน่...?
บทความโดย : Kittitouch Chaiprasith
17 เมษายน 2017
======================== Misc.Today
โรงเรียนในประเทศ ฝรั่งเศส มันสอนอะไรกันแน่ ? ทำไมคนที่ไปเรียนที่นั่นถึงเป็นบ้ากันไปหมด- S-21 ประตูสู่ความหลุดพ้น ตอนที่ ๑
พิพิธภัณฑ์ ตวลสเลง หรือ คุกตวลสเลง เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่ไม่ว่า ใครก็ตาม ได้เข้าไปเยือนแล้ว เมื่อเดินกลับออกมา ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะมีรอยยิ้มบนใบหน้า เฉกเช่นไปเยือนพิพิธภัณฑ์อื่นๆ ตวลสเลง หรือ S-21 เดิมทีเป็นโรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Tuol Svay Pray
| https://www.bagindesign.com/tuol-sleng-security-office-21-ep1/
- S-21 ถึง ทุ่งสังหาร ประตูสู่โลกหน้า ตอนที่ ๒
ประชาชนชาวเขมร ที่อาศัยอยู่ในกรุงพนมเปญนับล้านคน ถูกกวาดต้อนให้เร่งเดินทางจากเมืองหลวงออกสู่ชนบท ด้วยการหลอกลวงพวกเขาว่า จะมีการทิ้งระเบิดจากสหรัฐอเมริกา จึงไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใดประชาชนชาวกัมพูชาถึงได้ยอมเดินทางออกจากเมืองโดยง่ายดาย
| https://www.bagindesign.com/tuol-sleng-s21-choeung-ek-ep2/