การลอบสังหารในฐานะเครื่องมือของรัฐ
ประวัติศาสตร์การเมืองของกัมพูชา ในครึ่งศตวรรษหลัง พ.ศ. 2518 มิใช่เพียงเรื่องของการเปลี่ยนผ่านระบอบ หากแต่เต็มไปด้วย ร่องรอยของ "การใช้ความตายเป็นวาทกรรมแห่งการปกครอง" ไม่ว่าจะโดยรัฐนิยมเผด็จการ คอมมิวนิสต์ หรือประชาธิปไตยปลอม ...
รูปแบบของ “การลอบสังหาร” ในกัมพูชา มิได้ปรากฏในแบบ ที่โลกตะวันตกนิยาม — หากแต่มักผสานกลวิธีระหว่าง การปิดปาก, การลงโทษเชิงตัวอย่าง, และ การกำจัดเชิงสัญลักษณ์ ผ่านกลไกเงียบที่ยากจะสืบสาวถึงผู้บงการได้ ....
1. การสังหารในนามอุดมการณ์
: เขมรแดงและศิลปะของการกวาดล้าง
ในยุคของเขมรแดง ( ค.ศ. 1975 – 1979) ระบอบของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ได้แปลงสังคมให้กลายเป็น "ห้องสังหารขนาดยักษ์" ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูของการปฏิวัติ — ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ปัญญาชน หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่พรรคตนเอง — ต่างถูกกำจัด
กรณีศึกษา ที่น่าสนใจคือการประหาร Hu Nim, Khoy Thoun และแม้แต่ Son Sen ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของพรรคที่ถูกกล่าวหาว่า "ทรยศ" และถูกสังหารพร้อมทั้งครอบครัวในปี 1997 ภายหลังจากระบอบล่มสลาย ...
เอกสารในเรือนจำ S-21 (Tuol Sleng) ยืนยันรูปแบบของการทรมาน และการ “จัดทำคำรับสารภาพล่วงหน้า” ซึ่งสะท้อนแนวคิดการฆ่าแบบมีพิธีกรรม ....
> สารภาพก่อนตาย คือ การชำระล้างบาปทางอุดมการณ์ เพื่อให้ความตายกลายเป็นการล้างความชอบธรรมของเหยื่อ
2. การรัฐประหารเงียบ
: ปี ค.ศ. 1997 และการลอบสังหารในนาม "ความมั่นคง"
ในปี ค.ศ. 1997 พลเอก ฮุน เซน ดำเนินการรัฐประหาร กับรัฐบาลผสมที่มี เจ้าชายรณฤทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีร่วม โดยใช้ข้ออ้างเรื่อง "การรักษาเสถียรภาพ"
ข้อมูลจาก Human Rights Watch ระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ของพรรค FUNCINPEC และทหารฝ่ายตรงข้ามอย่างน้อย 40 ราย ถูกสังหารหรืออุ้มหาย ภายในเวลาไม่กี่วัน หลายรายถูกประหารในสถานที่ลับหลังจับกุม ซึ่งไม่มีการพิจารณาคดีใด ๆ
ในปี ค.ศ. 1997 พลเอก ฮุน เซน ดำเนินการรัฐประหาร กับรัฐบาลผสมที่มี เจ้าชายรณฤทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีร่วม โดยใช้ข้ออ้างเรื่อง "การรักษาเสถียรภาพ"
ข้อมูลจาก Human Rights Watch ระบุว่า มีเจ้าหน้าที่ของพรรค FUNCINPEC และทหารฝ่ายตรงข้ามอย่างน้อย 40 ราย ถูกสังหารหรืออุ้มหาย ภายในเวลาไม่กี่วัน หลายรายถูกประหารในสถานที่ลับหลังจับกุม ซึ่งไม่มีการพิจารณาคดีใด ๆ
กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของ "การลอบสังหารโดยรัฐ" ที่ได้รับการปกปิดอย่างมีระบบ โดยผสาน เครื่องมือข่าวกรอง, กองกำลังพิเศษ, และ การนิ่งเฉยของกระบวนการยุติธรรม
3. การลอบสังหารเชิงสัญญะ
: เมื่อนักคิดต้องตาย
ช่วงหลังปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา ปรากฏ “การตายมีเงื่อนงำ” ของนักกิจกรรม นักข่าว และนักวิชาการที่มีบทบาทต่อต้านระบอบอย่างชัดเจนหลายราย:
Kem Ley (2016) : นักวิจัยและนักวิจารณ์นโยบายรัฐ ถูกยิงตายกลางวันแสก ๆ ในร้านกาแฟ หลังจากเปิดเผยรายงาน “Global Witness” ที่กล่าวหา การสะสมทรัพย์สินของครอบครัวฮุน เซน ผู้ต้องหาถูกจับในนาม “หนี้ส่วนตัว” แต่กระบวนการสอบสวนเต็มไปด้วยข้อสงสัยและปกปิดหลักฐาน
Chut Wutty (2012) : นักสิ่งแวดล้อมที่ตรวจสอบการตัดไม้ในจังหวัดโคห์คอง ถูกยิงตายโดยทหารขณะเก็บข้อมูล
ช่วงหลังปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา ปรากฏ “การตายมีเงื่อนงำ” ของนักกิจกรรม นักข่าว และนักวิชาการที่มีบทบาทต่อต้านระบอบอย่างชัดเจนหลายราย:
Kem Ley (2016) : นักวิจัยและนักวิจารณ์นโยบายรัฐ ถูกยิงตายกลางวันแสก ๆ ในร้านกาแฟ หลังจากเปิดเผยรายงาน “Global Witness” ที่กล่าวหา การสะสมทรัพย์สินของครอบครัวฮุน เซน ผู้ต้องหาถูกจับในนาม “หนี้ส่วนตัว” แต่กระบวนการสอบสวนเต็มไปด้วยข้อสงสัยและปกปิดหลักฐาน
Chut Wutty (2012) : นักสิ่งแวดล้อมที่ตรวจสอบการตัดไม้ในจังหวัดโคห์คอง ถูกยิงตายโดยทหารขณะเก็บข้อมูล
เจ้าหน้าที่ผู้ยิงตายถูกระบุว่า “ฆ่าตัวตายทันทีหลังลงมือ” ซึ่งนักสิทธิมนุษยชนหลายรายมองว่าเป็น "การสร้างพยานปลอม"
Chea Vichea (2004) : ผู้นำแรงงาน ถูกยิงกลางเมือง มีการจับแพะรับบาปในคดีที่ไม่มีพยานหลักฐาน — ศาลภายหลังสั่งปล่อยตัวแต่ไม่เคยจับผู้กระทำผิดจริง
การตายของบุคคลเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปลิดชีพ แต่ยังแฝง “ข้อความเงียบ” ว่า “แม้ไม่มีเครื่องแบบ ก็เป็นภัยต่อรัฐได้ หากมีเสียง”
4. ความตายไร้พรมแดน
: สังหารนอกประเทศ และการไล่ล่าแบบข้ามรัฐ
ในทศวรรษ 2020s ปรากฏแนวโน้มการลอบสังหารในต่างแดน โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยทางการเมืองในประเทศไทย เช่น:
ในทศวรรษ 2020s ปรากฏแนวโน้มการลอบสังหารในต่างแดน โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยทางการเมืองในประเทศไทย เช่น:
- Lim Kimya (2025 ): อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงเทพฯ โดยมีพยานหลักฐานว่าผู้ต้องหาเคยมีสัมพันธ์กับรัฐกัมพูชา
- ผู้นำฝ่ายค้าน Sam Rainsy ออกมากล่าวชัดว่า “นี่คือคำสั่งโดยตรงจากพนมเปญ” — แต่รัฐบาลฮุน เซนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
การสังหารทางการเมืองไม่ได้สิ้นสุดลงที่พรมแดน หากแต่แปรสภาพเป็นสงครามข่าวสาร การหายตัว และความตายที่ไม่มีใครรับผิดชอบ
บทสรุป : เครือข่ายของความตาย
เงื่อนงำทั้งหมดนี้ ชี้ให้เห็นว่า “การลอบสังหาร” ในกัมพูชา มิได้เป็นเหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่คือส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจที่ยังคงดำรงอยู่
- ผู้ถูกสังหาร มักมีคุณลักษณะร่วม: “วิพากษ์อำนาจ–มีอิทธิพลในสังคม–ยึดถืออุดมการณ์ประชาธิปไตย”
- ผู้กระทำ มักไม่มีตัวตนแน่ชัด — แต่เงาของรัฐ, พรรค, และผู้มีอำนาจ มักอยู่เบื้องหลังเสมอ
กระบวนการยุติธรรมไม่เคยสว่างพอ สำหรับเหยื่อ แต่สว่างพอที่จะปกป้องผู้รอดชีวิตที่มีอำนาจ
.... การตายของพวกเขา...อาจไม่เคยได้รับความยุติธรรม แต่ได้เขียนประวัติศาสตร์อีกบทที่รัฐเผด็จการไม่อาจลบได้ง่าย ๆ
โดย : ปราชญ์ สามสี