"...... ในสมัยก่อน เมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จะมีประเพณีหนึ่ง คือ การชุบเลี้ยงดูองค์รัชทายาทเขมร เป็นพระราชบุตรบุญธรรม ในฐานะลูกเจ้าเมืองประเทศราช (เมืองขึ้น) ซึ่งเป็นธรรมเนียมเก่าแก่ มีมาแต่โบราณ เพื่อมิให้เขมรเกิดความกระด้างกระเดื่องต่อสยาม (ไทย) ..... "
เหตุการณ์และประเพณีนี้ เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ จนถึงรัชกาลที่ ๔ รวมเวลาทั้งสิ้น ๗๓ ปี.
การที่องค์รัชทายาทเขมร ได้เข้ามาบวชเรียนและเติบโตในราชสำนักไทยตั้งแต่วัยเยาว์ จึงได้รับเอาวัฒนธรรมและรสนิยมแบบไทยในราชสำนักไทย เอาไว้มาก เมื่อต้องกลับไปครองราชบัลลังก์เขมร
เมื่อสมัยกรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ ( ครั้งดำรงพระยศเป็นเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก) เสด็จออกไปปราบกบฏเมืองเขมรปี พ.ศ. ๒๓๒๓ ไม่ทันไร ก็ต้องเสด็จกลับเข้ามาระงับ "ยุคเข็ญในกรุงธนบุรี" ต่อมาประเทศเขมร ก็แตกแยก กันเป็นก๊กเป็นเหล่า ประจวบกับมีสงครามแขกจาม จะยกมาตีเขมร พระยายมราช (แบน) เห็นจะสู้ไม่ได้ จึงพาเจ้านายเชื้อพระวงศ์เขมร ที่เหลืออยู่มี “นักองค์เอง” เจ้าชายองค์น้อยมีพระชันษาเพียง ๑๐ ปี อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอยู่ในกรุงเทพฯ
รัชกาลที่ ๑ ได้ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงเป็นพระราชบุตรบุญธรรม นอกจากนั้น เจ้าหญิงซึ่งเป็นพระเชษฐภคินี ของนักองค์เองอีก ๒ องค์ คือ นักองค์อี และนักองค์เภา นั้น สมเด็จพระอนุชาธิราช (กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท) ทรงรับไปเลี้ยงเป็นพระสนมเอก ส่วนพระยายมราช (แบน) ได้รับแต่งตั้งจากความดีความชอบ เป็นเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ต้นตระกูลอภัยวงศ์ นับแต่นั้น .....
.... ต่อมาเมื่อ เขมรสงบลง เหล่าขุนนางจึงได้ร้องขอพระราชทานรัชทายาท คือ “นักองค์เอง” ออกไปครองประเทศเขมร .... รัชกาลที่ ๑ ยังไม่ทรงอนุญาต เพราะทรงเห็นว่า นักองค์เองยังทรงพระเยาว์อยู่มาก เกรงจะมีอันตราย แต่ได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) ออกไปรั้งราชการกรุงกัมพูชาแทน
ต่อมาเมื่อ “นักองค์เอง” ทรงเจริญพระชันษาและได้ทรงผนวชแล้ว จึงโปรดเกล้าฯ ให้ออกมาครองเขมรสืบทอดต่อมา โดยได้รับพระราชทานนามว่า “สมเด็จพระนารายน์รามาธิบดี ศรีสุริโยพรรณ บรมสุรินทรามหาจักรพรรดิราช บรมนาถบพิตร เจ้ากรุงกัมพูชา”
สมเด็จพระหริรักษ์รามมหาอิศราธิบดี (พระองค์ด้วง) ได้ส่ง “นักองค์ราชาวดี” เข้ามาทำราชการที่กรุงเทพฯ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เมื่อพำนักในกรุงเทพฯ พระองค์มีสถานะเป็นพระราชบุตรบุญธรรม ของกษัตริย์สยาม ทรงผนวชในธรรมยุติกนิกาย ๑ พรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหารราชวรวิหาร ....
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ในกัมพูชา เกิดความขัดแย้งขึ้น สยามได้เรียกตัว “นักองค์ศรีวัตถา” และ “นักองค์ราชาวดี” เข้ากรุงเทพฯ
สยาม ได้ตัดสินใจสนับสนุนให้ “นักองค์ราชาวดี” ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์แห่งกรุงกัมพูชา โดยมีขุนนางกัมพูชาในกรุงเทพ ช่วยกันประกอบพิธี ที่ชื่อว่า พิธีราชาภิเษกของพระนโรดมที่กรุงเทพฯ ได้เป็นไปโดยนิตินัย ก่อนที่จะมีพิธีราชาภิเษกอีกครั้ง ที่กรุงพนมเปญ โดยพฤตินัย .....
จากนั้นพระองค์ ได้ถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้าที่พระบรมมหาราชวัง เพื่อเป็นการอำลาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ และเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ ทรงยินดีในพระนโรดมและได้พระราชทานพระปรมาภิไธยแก่พระนโรดมว่า ....
“...องค์สมเด็จพระนโรดม บรมรามเทวาวตาร คุณสารสุนทรฤทธิ์ มหิศวราธิบดี ศรีสุริโยสุรัตน์นฤพัทธพงศ์ดำรงราช บรมนารถมหากำโพชาธิบดินทร สรรพศิลปสิทธิ์สถิตสถาพร พรหมามรอำนวยไชย เป็นมไหสวริยาธิบดีในปฐพีดล สกลกัมโพชาณาจักร อัครมหาบุรุษรัตนวัฒนาดิเรก เอกอุดมบรมบพิตร พระเจ้ากรุงกัมโพชาธิบดี...”
ทางการสยาม ได้จัดทัพทางเรือ ไปส่งนักองค์ราชาวดี ที่เมืองกำปอด และเดินทัพทางบก ไปยังเมืองอุดงมีไชย....
ในระหว่างนี้.... เกิดการกบฏอีก ออกญาสุทศ (บา) ได้รวบรวมกองทัพ ตั้งมั่นที่โพธิสัตว์ สยามจึงส่งทัพจากเสียมราฐ และจันทบุรี ไปปราบจนราบคาบ และได้อัญเชิญสมเด็จพระนโรดมประกอบพิธีราชาภิเษกที่กรุงพนมเปญและขึ้นเป็นกษัตริย์อย่างสมบูรณ์
ขณะนั้น กัมพูชาเป็นประเทศราชของสยาม เชื้อพระวงศ์ที่จะอภิเษกเป็นพระเจ้ากรุงกัมพูชา ต้องมาจากการแต่งตั้ง ของรัตนโกสินทร์ ทางสยามมีสิทธิในการสถาปนากษัตริย์กัมพูชา ....
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงมีพระราชดำริให้ส่ง “พระมหามงกุฎราช” พร้อมเครื่องประกอบอิสริยศ อย่างธรรมเนียมเจ้าประเทศราช พระราชทานแก่สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ กษัตริย์แห่งกัมพูชา (นักองค์ราชาวดี)
พระมหามงกุฎราช องค์จริงดั้งเดิม ที่รัชกาลที่ ๔ พระราชทาน น่าจะสูญหายไปครั้งเขมรแตกในปี ๒๕๑๘ องค์ที่ปรากฏในคราวพระราชพิธีราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี แห่งกัมพูชา เป็นการสร้างขึ้นใหม่ทดแทนของเดิมที่สูญหาย
การเมืองที่เกิดจาก ระบบพ่อปกครองลูก ได้ผูกมัดจิตใจ ให้เกิดความจงรักภักดีระหว่างสองราชอาณาจักรตลอดมา กษัตริย์เขมร ที่เคยเสด็จมาพำนัก และเจริญพระชันษาในกรุงเทพฯ สืบสันตติวงศ์ต่อกันมาในระยะนั้น มีสมเด็จพระนารายณ์รามาธิบดี (นักองค์เอง) สมเด็จพระหริรักษ์รามาธิบดี (นักองค์ด้วง) สมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ (นักองค์ราชาวดี) และสมเด็จพระศรีสวัสดิ์ (นักองค์สีสุวัตถิ์) ....
ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระราชวงศ์ไทยกับราชวงศ์กัมพูชา ได้เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีความแน่นแฟ้นและยั่งยืนจนมาถึงรัชกาลที่ ๔ เพราะในอดีตนั้นเจ้านายหลายพระองค์ของราชวงศ์กัมพูชาล้วนมาพำนักที่กรุงเทพทั้งสิ้น แต่ในรัชกาลที่ ๕ กัมพูชาที่เคยเป็นประเทศราชของสยามนั้นก็ได้ตกไปเป็นของส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศส เพราะพระเจ้านโรดม ตีตัวออกห่างจากสยามและยกกัมพูชาให้เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส
พระฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ แห่งกัมพูชา ขณะประกอบพระราชพิธีราชาภิเษก ขณะประกอบพระราชพิธีราชาภิเษก ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างพระราชวงศ์ไทยกับราชวงศ์กัมพูชา ได้เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีความแน่นแฟ้นและยั่งยืนจนมาถึงรัชกาลที่ ๔ เพราะในอดีตนั้นเจ้านายหลายพระองค์ของราชวงศ์กัมพูชาล้วนมาพำนักที่กรุงเทพทั้งสิ้น แต่ในรัชกาลที่ ๕ กัมพูชาที่เคยเป็นประเทศราชของสยามนั้นก็ได้ตกไปเป็นของส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอาณานิคมฝรั่งเศส เพราะพระเจ้านโรดม ตีตัวออกห่างจากสยามและยกกัมพูชาให้เป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส
พระฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระนโรดมพรหมบริรักษ์ แห่งกัมพูชา ขณะประกอบพระราชพิธีราชาภิเษก ขณะประกอบพระราชพิธีราชาภิเษก ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร กรุงเทพมหานคร
บรรณานุกรม
ไกรฤกษ์ นานา. วารสาร “นักล่าอาณานิคม” ตีแผ่สัญญารัชกาลที่ ๕ ทำไมสยามสละ “นครวัด” ?. https://www.silpa-mag.com/history/article_31756. (สืบค้นเมื่อ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๔).
เรียบเรียงโดย : fb/โบราณนานมา