เรื่องนี้ ต้องถอยมาตั้งหลักกันใหม่
ตั้งแต่ความหมายของคำว่า “สวดมนต์” นั่นเลย... ผมแน่ใจว่า ร้อยทั้งร้อย ของคนที่ต่อต้านการสวดมนต์นั้น - .... มีดังนี้
(๑) ไม่เคยศึกษา ถึงความหมาย และความมุ่งหมายของการ “สวดมนต์”
(๒) ไม่เคยสวดมนต์ ตามความสมัครใจ หรือสวดด้วยศรัทธาของตัวเอง แต่สวดเพราะถูกบังคับ เช่นสวดตามระเบียบของหน่วยงาน หรือสถานที่ หรือกิจกรรมที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้อง ....
ถ้าอยากรู้เรื่อง ขอให้กัดฟันอ่าน ที่จะเขียนต่อไปนี้ .....
🙏 “สวด” เป็นคำไทย ตรงกับบาลีว่า “สชฺฌาย” (สัด-ชา-ยะ) แปลตามศัพท์ว่า “การสวดพร้อมหมดอย่างยิ่ง” , “การศึกษาอย่างยิ่ง (ซึ่งมนตร์) ของตน” ... หมายถึง การสาธยาย, การสวด, การท่อง (repetition, rehearsal study)
“สวดมนต์” ตรงกับคำบาลีว่า “มนฺตสชฺฌาย” (มัน-ตะ-สัด-ชา-ยะ) แปลตามศัพท์ว่า “การสาธยายมนต์” หรือแปลตรงตัวว่า “สวดมนต์” นั่นเอง
การสวดมนต์ ในพระพุทธศาสนา มีมูลเหตุมาจาก การสาธยายพระธรรมวินัย หรือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อมิให้ลืมเลือนอย่างหนึ่ง และเพื่อตรวจสอบข้อความ ให้ถูกต้องตรงกันอีกอย่างหนึ่ง ....
-ถอยไปอีก-
หลักคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เดิมแท้ ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ใช้วิธี -ฟังจากปากแล้วจำไว้ในใจ ...
ภาระที่จะต้องทำ กับหลักคำสอนมี ๒ อย่าง คือ -
๑. จำถ้อยคำให้ได้
๒. ศึกษาให้เข้าใจความหมายของถ้อยคำนั้น
💡วิธีที่จะช่วยให้จำถ้อยคำอันเป็นหลักคำสอนได้ไม่ลืม
หรือ วิธีที่จะช่วยให้ไม่ลืมถ้อยคำ ก็คือ "หมั่นสาธยาย"
... สาธยาย คือ สวด
การสวดมนต์ จึงมีความมุ่งหมายอยู่ที่ -เพื่อไม่ลืมถ้อยคำ หรือจำถ้อยคำได้ไม่ลืม ....
***โปรดจับความมุ่งหมายของการสวดมนต์ให้ถูก - เพื่อไม่ลืมถ้อยคำ หรือจำถ้อยคำได้ไม่ลืม ....
เป้าหมายของการสวดมนต์อยู่ตรงนี้ !!!
เป้าหมายของการสวดมนต์ไม่ได้อยู่ที่ -สวดเพื่อให้รู้เรื่อง
เป้าหมายของการสวดมนต์อยู่ตรงนี้ !!!
เป้าหมายของการสวดมนต์ไม่ได้อยู่ที่ -สวดเพื่อให้รู้เรื่อง
แต่อยู่ที่-สวดเพื่อไม่ให้ลืม
ถ้าอยากรู้เรื่อง ก็ไปทำภาระประการที่ ๒ นั่นคือ ศึกษาให้เข้าใจความหมาย ของถ้อยคำในบทสวดนั้น ... ไม่ใช่ทำด้วยวิธีสวด หรือมาเรียกร้องหาการรู้เรื่องเอาจากการสวด ....
การสวดมนต์นั้น สวดเพื่อไม่ให้ลืม ไม่ใช่สวดเพื่อให้รู้เรื่อง ...
อยากรู้เรื่อง ให้เอาคำสวดนั้นมาศึกษา ...
ท่านแบ่งวิธีการไว้ชัดเจนแล้ว ทำให้ถูกตามวิธี
ถ้าอยากรู้เรื่อง ก็ไปทำภาระประการที่ ๒ นั่นคือ ศึกษาให้เข้าใจความหมาย ของถ้อยคำในบทสวดนั้น ... ไม่ใช่ทำด้วยวิธีสวด หรือมาเรียกร้องหาการรู้เรื่องเอาจากการสวด ....
การสวดมนต์นั้น สวดเพื่อไม่ให้ลืม ไม่ใช่สวดเพื่อให้รู้เรื่อง ...
อยากรู้เรื่อง ให้เอาคำสวดนั้นมาศึกษา ...
ท่านแบ่งวิธีการไว้ชัดเจนแล้ว ทำให้ถูกตามวิธี
ผมเชื่อว่า ประเด็นนี้ คนทั้งประเทศยังไม่เข้าใจ .... จำได้ไหมครับ ? มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่คนเรียกร้องให้พระสวดเป็นภาษาไทย เพราะจะได้ฟังรู้เรื่อง ข้อเรียกร้องแบบนี้ ก็เกิดจากความไม่เข้าใจนี่แหละ ....
ทีนี้ ก็มาถึงเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง
ในเมื่อสวดเองก็ไม่รู้เรื่อง ฟังพระสวดก็ไม่รู้เรื่อง ....
"แล้ว"...
เราควรจะสวดมนต์ไหม?
เราควรจะฟังพระสวดไหม?
คำตอบ ก็คือ ควรทำทั้งสองอย่าง
สวดมนต์เองก็ควรสวด
ฟังพระสวดก็ควรฟัง
ถ้าคิดให้เป็นก็จะเห็นประโยชน์
*สวดเอง เป็นการทบทวนทรงจำคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ได้ ...
คำสอนของพระพุทธเจ้า จะมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก หรือบันทึกไว้ที่ไหนก็ช่างเถิด จะมีใครสวดได้ จำได้บ้างก็ช่างเถิด ไม่ต้องไปคำนึง ขอให้นึกแต่เพียงว่า
คำสอนของพระพุทธเจ้า จะมีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก หรือบันทึกไว้ที่ไหนก็ช่างเถิด จะมีใครสวดได้ จำได้บ้างก็ช่างเถิด ไม่ต้องไปคำนึง ขอให้นึกแต่เพียงว่า
".... เราเป็นคนหนึ่งที่ทบทวนทรงจำคำสอนของพระพุทธเจ้าไว้ได้ เราเป็นคนหนึ่ง ที่ช่วยสืบอายุพระพุทธศาสนาไว้ได้...."
ทำได้แค่นี้ เป็นมหากุศลยิ่งแล้ว ....
* ฟังพระสวด เป็นการอนุโมทนาบุญ ของพระผู้สวดประการหนึ่ง และเป็นโอกาสให้ได้เจริญสติเจริญสมาธิอีกประการหนึ่ง ...
ผู้รู้ท่านแนะนำสูตรสำเร็จว่า - ...
ฟังสวดเอาสมาธิ
ฟังเทศน์เอาปัญญา
... เวลาฟังสวด ไม่ว่าจะเป็นสวดพระอภิธรรมงานศพ หรือสวดมนต์ในงานบุญทั่วไป ขอให้เราฟังเพื่อเอาสมาธิ อย่าเพิ่งสนใจว่าจะรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง ....
หลัก ก็คือ ตั้งจิตกำหนดตามเสียงที่ได้ยิน โดยไม่ต้องหมายใจใคร่รู้ว่า ถ้อยคำที่มากระทบโสตประสาทนั้นมีความหมายว่าอย่างไร ....
เอาสติ กำหนดตามเสียงไปเป็นสำคัญ ... ให้จิตดิ่งนิ่งแน่วแน่อยู่กับเสียงที่พระสวด แต่ละคำ แต่ละบท ตั้งแต่ต้นจนจบ ....
หน้าที่ของการฟังสวดมีแค่นั้น -คือ แค่กำหนดตามเสียงเพื่อให้จิตเป็นสมาธิ
ไม่ใช่ จะมาเอาเป็นเอาตายกับการรู้เรื่องที่สวด
เวลาที่ใช้ไปกับการฟังสวดก็เพียงครึ่งชั่วโมง หรืออย่างมากที่สุดก็ไม่เกินชั่วโมง
จะเอาเป็นเอาตายเอา รู้เรื่องเอาบรรลุธรรมกันภายในเวลาชั่วโมงเดียวเดี๋ยวนั้นเชียวหรือ ?
เวลาอีก ๒๓ ชั่วโมง ไม่มีเลยหรือ ที่จะจัดสรรเพื่อการศึกษาบทธรรมที่พระท่านเอามาสวดเพื่อให้รู้เรื่อง
จะต้องเอารู้เรื่องกันให้ได้เฉพาะในเวลาที่ฟังสวดเท่านั้นหรือ ????
ผมจึงขอยืนยัน ว่า สวดมนต์ -ไม่ว่าจะเป็นสวดพระอภิธรรมงานศพ หรือสวดในโอกาสอื่นใด ต้องสวดเป็นภาษาบาลี เหตุผล คือ เพื่อรักษาต้นฉบับพระธรรมคำตรัสสอนไว้ ....
ถ้าอยากรู้เรื่อง ขอแนะนำให้ ทำตามคำคนเก่า คือ “ฟังสวดเอาสมาธิ ฟังเทศน์เอาปัญญา”
หาโอกาสฟังเทศน์ ก็จะรู้เรื่องในบทสวด (อย่างที่กระหายใคร่รู้ จนถึงกับเรียกร้องให้พระสวดเป็นภาษาไทย) ก็จะได้ปัญญา ....
“ฟังเทศน์” หมายถึง การศึกษาพระธรรม
จะโดยการฟังพระเทศน์ตามคำว่า “ฟังเทศน์” ตรงตัวก็ได้ ฟังคำบรรยายจากท่านผู้รู้อื่นๆ ก็ได้ อ่านหนังสือเอาเองก็ได้ ทำได้สารพัดวิธี ....
ยิ่งเวลานี้ ไฮเทคก้าวหน้า อยากรู้ธรรมะข้อไหน คลิกเดียวเท่านั้น ....
จึงไม่ต้องไปคาดคั้นจะเอารู้เรื่องกันเฉพาะในเวลาฟังพระสวดนั่นเลย ....
.... เฉพาะกรณีฟังสวดพระอภิธรรม ผมมีคำแนะนำที่ผมปฏิบัติเองมาตลอด นั่นก็คือ พระอภิธรรมบทสุดท้ายในชุดพระอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ คือบทปัฏฐาน ที่พระท่านขึ้นต้นบทสวดว่า “เห-ตุปัจจะโย”
คำแนะนำของผมก็คือ พอถึงบทนี้ เมื่อพระท่านสวดคำว่า “-ปัจจะโย” ครั้งหนึ่ง ก็ให้ท่านกำหนดนับว่า “หนึ่ง”
อีกครั้งหนึ่งก็กำหนดว่า “สอง”
อีกครั้งหนึ่งก็กำหนดว่า “สาม” ...
กำหนดนับตามไปทุกครั้งที่ได้ยินคำว่า “-ปัจจะโย”
เมื่อจบ “-ปัจจะโย” สุดท้าย ตอบได้ไหมว่า นับได้กี่-ปัจจะโย
บทอื่น ๆ กำหนดจิตตามเสียงสวดเพื่อให้เกิดสมาธิ
แต่เฉพาะบท “เห-ตุปัจจะโย” นี้ กำหนดจิตด้วย กำหนดนับ “-ปัจจะโย” ด้วย เป็นการปฏิบัติธรรมโดยวิธีพิเศษ
เอาแค่นับ “-ปัจจะโย” ให้ได้ครบเท่านี้ ก็ได้ประโยชน์เหลือหลายแล้ว
ไปฟังสวดเมื่อไรก็กำหนดแบบนี้ทุกครั้งไป เมื่อทำจนคุ้น จะพบว่าจิตดิ่งนิ่งเป็นสมาธิได้เร็วขึ้น แน่วแน่ขึ้น
ถึงขั้นนั้นก็พัฒนาต่อไปอีกระดับหนึ่ง นั่นคือ กำหนดให้ละเอียดเข้าไปอีกว่า “-โย” ที่เท่าไรเป็นอะไร-โย
เช่น -
“-โย” ที่หนึ่ง เป็นคำว่า “เห-ตุปัจจะโย”
“-โย” ที่สอง เป็นคำว่า “อารัมมะณะปัจจะโย” (ฟังชัดหรือไม่ชัดไม่ต้องกังวล เอาแค่จับเสียงได้คร่าว ๆ ก็พอ)
“-โย” ที่สาม เป็นคำว่า “อะธิปะติปัจจะโย”
“-โย” ที่ห้า เป็นคำว่า อะไร-โย
“-โย” ที่สิบ เป็นคำว่า อะไร-โย
“-โย” ที่ยี่สิบ เป็นคำว่า อะไร-โย
ไปจนถึง “-โย” สุดท้าย เป็นคำว่า อะไร-โย
รับรองว่าท่านจะรู้สึกสนุกกับเกมนี้
เป็นการฝึกจิต ฝึกสติ ฝึกความรู้สึกตัว พร้อมไปหมดในตัวเอง
ลืมเรื่องจะเอาเป็นเอาตายกับการฟังให้รู้เรื่องไปได้เลย
แล้วต่อจากนั้น ท่านจะมีฉันทะ มีอุตสาหะในการที่จะ "อ่าน" จะ "สืบค้นหา" ความหมาย และหาความรู้ในบทสวดนั้น ๆ ก้าวหน้าต่อไปอีก ...
โดยไม่ต้องไปบังคับกะเกณฑ์ให้พระท่านสวดเป็นภาษาไทย เพื่อให้ฟังรู้เรื่องเอาเฉพาะเวลาที่กำลังฟังอีกต่อไป ....
- ข้อสำคัญ ถ้าตั้งใจปฏิบัติตามนี้ ความคิดที่อยากจะคุยแข่งพระก็จะหายไป
- ท่านจะรู้สึกสุขสงบ จิตใจผ่องแผ้ว รับสัมผัสประโยชน์จากการไปฟังสวดได้เต็ม ๆ
- งานศพ-โดยเฉพาะในช่วงที่มีการสวดพระอภิธรรม-ก็จะเป็นพิธีที่มีสาระอย่างแท้จริง
.... ไม่ใช่สักแต่ว่าทำกันไป-อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในทุกวันนี้
รู้เป้าหมายและประโยชน์ของการสวดมนต์อย่างนี้แล้ว ใครยังคิดจะหาเหตุอะไรมายกเลิกการสวดมนต์อยู่อีกหรือครับ?
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๘
๑๓:๕๓