โดยมีการออกมาชี้นำว่า
"..มนุษย์ไม่ได้ขอมาเกิด พ่อแม่ทำให้เขาเกิดมาเอง !!! พ่อแม่จึงมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูลูก โดยที่ลูกไม่จำเป็นต้องตอบแทนพ่อแม่.."
*** ประมาณว่า ให้เอาแต่ take โดยไม่ต้อง give อะไรทำนองนั้น ....
... แน่นอน ไม่มีสังคมใดต้อนรับคนที่เอาแต่ take โดยไม่ยอม give อันเป็นพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัว ในต่างประเทศเอง ก็มีคำศัพท์เรียกคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ (เช่น freeloader) แสดงว่าพฤติกรรมนี้ไม่ใช่สิ่งอันเป็นที่ยอมรับไม่ว่าในมุมใดของโลกทั้งนั้น การยุยงให้คนเอาแต่ take โดยไม่ยอม give จึงเป็นความพยายามสร้าง " ความอ่อนแอ และวิปริต" ขึ้น ในสังคมไทย ทั้งๆ ที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ทั่วโลกก็ไม่ได้ยอมรับ
คนที่ถูกหล่อหลอมให้เห็นแก่ตัวและเนรคุณ ... ในที่สุดก็จะไม่ได้รับการยอมรับในสังคม ไม่ว่าประเทศไหน ไม่ได้รับการยอมรับจากที่ทำงาน จากคู่ชีวิต ฯลฯ
... แน่นอน ไม่มีสังคมใดต้อนรับคนที่เอาแต่ take โดยไม่ยอม give อันเป็นพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัว ในต่างประเทศเอง ก็มีคำศัพท์เรียกคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ (เช่น freeloader) แสดงว่าพฤติกรรมนี้ไม่ใช่สิ่งอันเป็นที่ยอมรับไม่ว่าในมุมใดของโลกทั้งนั้น การยุยงให้คนเอาแต่ take โดยไม่ยอม give จึงเป็นความพยายามสร้าง " ความอ่อนแอ และวิปริต" ขึ้น ในสังคมไทย ทั้งๆ ที่น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ทั่วโลกก็ไม่ได้ยอมรับ
คนที่ถูกหล่อหลอมให้เห็นแก่ตัวและเนรคุณ ... ในที่สุดก็จะไม่ได้รับการยอมรับในสังคม ไม่ว่าประเทศไหน ไม่ได้รับการยอมรับจากที่ทำงาน จากคู่ชีวิต ฯลฯ
ซึ่งมันคือ ผลกรรมที่ย้อนกลับเข้าสู่ตนเอง และทำให้องค์ประกอบของสังคมหน่วยนั้นๆ ล้มเหลว
... ถ้าสังคมใดมีคนแบบนี้เป็นส่วนใหญ่ สังคมก็จะกลายเป็น ชิ้นส่วนแยกย่อยกระจัดกระจาย ไร้ bond ยึดเหนี่ยว ที่เป็นปัจจัยความเข้มแข็ง .... ประเทศนั้นๆ ก็ง่ายต่อการถูกทำลาย หรือเอาไปเป็นทาส ... ซึ่งสิ่งนี้น่าจะเป็นเป้าหมายแท้จริง (แม้จะไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด) ของกลุ่มผู้ยุยง ...!!!
... ถ้าสังคมใดมีคนแบบนี้เป็นส่วนใหญ่ สังคมก็จะกลายเป็น ชิ้นส่วนแยกย่อยกระจัดกระจาย ไร้ bond ยึดเหนี่ยว ที่เป็นปัจจัยความเข้มแข็ง .... ประเทศนั้นๆ ก็ง่ายต่อการถูกทำลาย หรือเอาไปเป็นทาส ... ซึ่งสิ่งนี้น่าจะเป็นเป้าหมายแท้จริง (แม้จะไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด) ของกลุ่มผู้ยุยง ...!!!
------------------------------------------
ผู้เขียนขอแชร์ประสบการณ์ไว้ เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง ก่อนที่ผู้คนที่หลงเชื่อการชี้นำให้เอาแต่ take โดยไม่ต้อง give จะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและเนรคุณไปกันหมด ทั้งประเทศ
ก่อนกล่าวถึง สิทธิเลือกเกิดได้ จำเป็นต้องมีความเข้าใจในเรื่องการกลับมาเกิดใหม่ ( Reincarnation ) ซึ่งในปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์และรวบรวมหลักฐานกันอย่างเป็นระบบ ยกตัวอย่าง บทความ The Science of Reincarnation
( *** https://uvamagazine.org/articles/the_science_of_reincarnation )
และตัวอย่างผู้มีชื่อเสียงในการศึกษาทางด้าน การกลับมาเกิดใหม่ เช่น ศาสตราจารย์ Ian Stevenson ผู้เชี่ยวชาญในสาขาจิตเวชศาสตร์ (Psychiatry) ( *** https://www.linkedin.com/pulse/following-your-heart-dr-ian-stevenson-stacey-brody )
ท่านผู้อ่านสามารถสืบค้นเพิ่มเติมภายใต้ keyword > reincarnation ซึ่งจะเห็นว่าการกลับมาเกิดใหม่ได้รับการกล่าวขวัญถึงด้วยทัศนะ ที่ไม่ถือเป็นเรื่องงมงายมานานแล้ว """"
ในเรื่องราวที่ผู้เขียนจะแชร์ต่อไปนี้
**ขอกำหนดชื่อบุคคลใหม่ เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของเจ้าของเนื้อหา ....
คุณผกาวลี เป็นผู้บริหารหน่วยงานแห่งหนึ่ง อาคารที่ทำงานของเธอมีเรื่องกล่าวขานกันว่า เดิมอาคารแห่งนี้เป็นที่เก็บร่างของชาวต่างประเทศผู้มาปฏิบัติภารกิจย่านเอเซีย แต่ความที่เรื่องนั้น ก็แค่เป็นการคุยกันปากต่อปาก คุณผกาวลี ซึ่งเป็นคนบ้างาน จึงนั่งทำงานถึงมืดค่ำดึกดื่น โดยไม่สนใจว่า จะมีจิตวิญญาณใดๆมาหลอกหลอน เธอมีความชำนาญภาษาอังกฤษ และต้องเขียนเอกสารภาษาอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ในการทำงาน ...
เธอทำงานมานานเป็นปีๆ โดยใช้ช่วงเวลาหลังเลิกงานที่มีสมาธิดี ครุ่นคิด หาแนวการเขียนใหม่ๆ
.... อยู่มาวันหนึ่ง เธอเริ่มเกิดความรู้สึกข้อหนึ่งว่า หลังเวลาหนึ่งทุ่ม สติปัญญาของเธอ จะพลันผ่องใส คิดประโยค และเนื้อหา ได้สวยงาม และแหลมคมอย่างยิ่ง จนไม่น่าเชื่อว่า นั่นคือ ผลงานของตนเอง ??!!
แม้เธอจะชำนาญการเขียน แต่ก็เป็นแนวอังกฤษเทคนิค ไม่ได้มีความสละสลวยสวยงาม เชิงภาษาศาสตร์อะไรมากมาย ....
วันถัดๆ มา... ก็เกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกัน คุณผกาวลี จึงได้ผลงานดีๆ ออกมาไม่เว้นแต่ละวัน ช่วงเวลาหนึ่งผ่านไป เธอเริ่มเฝ้ารอเวลาหนึ่งทุ่ม เวลาที่สมองของเธอจะสร้างสรรค์ผลงานเด็ดออกมาได้ แต่ความที่เธอไม่ใช่คนหลงตัว .... จึงชักสงสัยว่า ...
"..หรือจะมีพลังชนิดหนึ่งบางอย่าง แวะเวียนมาช่วยเติมประกายความคิด...ให้เธอ" ??!!
หลังจากเริ่มคุ้นเคย กับความมีตัวตนของพลังนั้น ... คุณผกาวลี ก็ เรียก พลังลึกลับดังกล่าวนั่นว่า “โปรเฟสเซอร์” และเล่าเรื่องประหลาดนี้ ให้คนใกล้ชิดได้ฟัง ...
ผู้ช่วยชาวตะวันตกของเธอ เลยพลอยได้ทราบเรื่อง “โปรเฟสเซอร์” ไปด้วย แม้จะรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อสักเท่าไร แต่ผู้ช่วยก็ต้องชั่งน้ำหนักว่า คุณผกาวลีจะต้องเล่าทำไม ? ในเมื่อหากเงียบเสีย แล้วเคลมว่าผลงานชั้นเยี่ยมนั้น เป็นความคิดของตัวเองล้วนๆ ก็จะดูเป็นประโยชน์กว่าหรือ ?
คุณผกาวลี มีญาติสนิทชื่อ คุณอารีรัตน์ ที่มีบ้านและสามี อยู่ประเทศตะวันตก ช่วงที่คุณอารีรัตน์มาเมืองไทย ก็จะมาช่วยคุณผกาวลีทำงานประเภทสำนักงาน แต่ก็ไม่ได้อยู่จนถึงมืดค่ำ สามีชาวตะวันตกของคุณอารีรัตน์ เป็นผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี เดินทางไปประเทศต่างๆมากมาย คุณผกาวลีได้เล่าเรื่อง “โปรเฟสเซอร์” ให้ญาติของเธอคนนี้ฟังอีกคน
ผู้ช่วยชาวตะวันตกของเธอ เลยพลอยได้ทราบเรื่อง “โปรเฟสเซอร์” ไปด้วย แม้จะรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อสักเท่าไร แต่ผู้ช่วยก็ต้องชั่งน้ำหนักว่า คุณผกาวลีจะต้องเล่าทำไม ? ในเมื่อหากเงียบเสีย แล้วเคลมว่าผลงานชั้นเยี่ยมนั้น เป็นความคิดของตัวเองล้วนๆ ก็จะดูเป็นประโยชน์กว่าหรือ ?
คุณผกาวลี มีญาติสนิทชื่อ คุณอารีรัตน์ ที่มีบ้านและสามี อยู่ประเทศตะวันตก ช่วงที่คุณอารีรัตน์มาเมืองไทย ก็จะมาช่วยคุณผกาวลีทำงานประเภทสำนักงาน แต่ก็ไม่ได้อยู่จนถึงมืดค่ำ สามีชาวตะวันตกของคุณอารีรัตน์ เป็นผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่ดี เดินทางไปประเทศต่างๆมากมาย คุณผกาวลีได้เล่าเรื่อง “โปรเฟสเซอร์” ให้ญาติของเธอคนนี้ฟังอีกคน
คุณอารีรัตน์มาช่วยทำงานได้ระยะหนึ่ง ก็ถึงเวลาเดินทางกลับ โดยเธอและสามี มีแผนจะไปเที่ยวเมืองจีนกันต่อ
คุณผกาวลีรู้สึกเหงา แต่ที่ทำให้แย่ขึ้นไปอีกก็คือ ตอนทุ่มกว่าๆ เธอเริ่มรู้สึกสมองตื้อ ไม่แล่นฉิวอย่างช่วงเวลาก่อนหน้า ที่เคยเขียนเนื้อหาภาษาต่างประเทศออกมาได้สละสลวยสวยงาม ตอนนี้มันก็แนวอังกฤษเทคนิค ที่แม้จะเป็นภาษาระดับคุณภาพแต่ก็ทื่อๆ อย่างเก่า หรือว่า “โปรเฟสเซอร์” จะไปแล้ว ?? …
2.
คุณผกาวลีรู้สึกเหงา แต่ที่ทำให้แย่ขึ้นไปอีกก็คือ ตอนทุ่มกว่าๆ เธอเริ่มรู้สึกสมองตื้อ ไม่แล่นฉิวอย่างช่วงเวลาก่อนหน้า ที่เคยเขียนเนื้อหาภาษาต่างประเทศออกมาได้สละสลวยสวยงาม ตอนนี้มันก็แนวอังกฤษเทคนิค ที่แม้จะเป็นภาษาระดับคุณภาพแต่ก็ทื่อๆ อย่างเก่า หรือว่า “โปรเฟสเซอร์” จะไปแล้ว ?? …
2.
... เวลาผ่านไปโดย “โปรเฟสเซอร์” ไม่กลับมาอีก
คุณอารีรัตน์เล่าเรื่องราวข้ามทวีปมาว่า นอกจากเธอจะไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนแล้ว ยังมีชีวิตใหม่ made in China มาถือกำเนิดกับเธออีกด้วย เป็นที่สุดแห่งความดีใจ เพราะวัยล่วงเลยมาจนใกล้จะหมดเขตอยู่แล้ว
ลูกคุณอารีรัตน์เป็นเด็กชาย .... ในวัยประถม คล้ายจะมีความรู้ และความคิดเกินวัย เก่งคณิตศาสตร์เกินชั้นเรียน เพื่อนๆ เรียนบวกลบ พี่แกรู้ถึงคูณหารแล้ว และชอบไปยืนฟังเด็กโตเขาเรียนกัน มีความแตกต่างจากเด็กอื่นตลอด ...
ของเล่นเด็ก พี่แกก็ไม่เล่น ไ่ม่สนใจ บอกว่านั่นมันของเบบี้ แต่พอขึ้นมัธยม และเข้ามหาวิทยาลัย ก็ค่อยธรรมดาขึ้น ในความสนใจส่วนตัว จะชอบเล่นเกม logic แบบมีคู่เล่นในประเทศต่างๆ และปัจจุบันผ่านการแข่งขันติดอันดับทอปเท็นของประเทศ มีรายได้พิเศษจากการรับจ้างตรวจงานเขียนภาษาอังกฤษให้คุณพ่อ แม้ว่าคุณพ่อ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญองค์การระหว่างชาติก็ตาม ...
คุณอารีรัตน์เล่าเรื่องราวข้ามทวีปมาว่า นอกจากเธอจะไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนแล้ว ยังมีชีวิตใหม่ made in China มาถือกำเนิดกับเธออีกด้วย เป็นที่สุดแห่งความดีใจ เพราะวัยล่วงเลยมาจนใกล้จะหมดเขตอยู่แล้ว
ลูกคุณอารีรัตน์เป็นเด็กชาย .... ในวัยประถม คล้ายจะมีความรู้ และความคิดเกินวัย เก่งคณิตศาสตร์เกินชั้นเรียน เพื่อนๆ เรียนบวกลบ พี่แกรู้ถึงคูณหารแล้ว และชอบไปยืนฟังเด็กโตเขาเรียนกัน มีความแตกต่างจากเด็กอื่นตลอด ...
ของเล่นเด็ก พี่แกก็ไม่เล่น ไ่ม่สนใจ บอกว่านั่นมันของเบบี้ แต่พอขึ้นมัธยม และเข้ามหาวิทยาลัย ก็ค่อยธรรมดาขึ้น ในความสนใจส่วนตัว จะชอบเล่นเกม logic แบบมีคู่เล่นในประเทศต่างๆ และปัจจุบันผ่านการแข่งขันติดอันดับทอปเท็นของประเทศ มีรายได้พิเศษจากการรับจ้างตรวจงานเขียนภาษาอังกฤษให้คุณพ่อ แม้ว่าคุณพ่อ จะเป็นผู้เชี่ยวชาญองค์การระหว่างชาติก็ตาม ...
คุณผกาวลีตั้งข้อสังเกตมานานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ลูกคุณอารีรัตน์มีสมองเกินอายุ และไม่เล่นของเล่นเด็กวัยเดียวกัน …
เรื่องนี้ ทำให้... เธอย้อนคิดถึง “โปรเฟสเซอร์” ว่าที่หายไปพร้อมคุณอารีรัตน์ ในช่วงเดินทางกลับนั้น ตกลงตามคุณอารีรัตน์ไปเมืองจีนหรือเปล่าหนอ ....
แม้เธอจะคิดเล่นๆ กับตัวเองว่า ...ลูกคุณอารีรัตน์นี่แหละ คือ “โปรเฟสเซอร์” แต่ก็ยังเฝ้าคอยเก็บข้อมูลพัฒนาการอื่นๆ จนได้ทราบว่า เขาคนนี้เก่งภาษา จนสามารถรับจ้างตรวจงานเขียนภาษาอังกฤษของคุณพ่อ
จึงเริ่มสรุปข้อสันนิษฐาน
------------------------
------------------------
เนื้อหาที่กล่าวมา ต่างจากหลักฐานส่วนใหญ่ ในเรื่องของการกลับมาเกิดใหม่ (reincarnation) ตรงที่ส่วนใหญ่จะระบุว่า คนที่มาเกิดใหม่จะรู้ตัวเอง และจำอะไรบางอย่างได้ หรือมีร่องรอยบนร่างกาย ที่มีที่มาที่ไปจากชาติที่ผ่านมา ... แต่ ในเนื้อหาข้างต้น ไม่มีส่วนใดที่เหมือนกัน
ผู้เขียนไม่ทราบว่าลูกชายคุณอารีรัตน์ที่มีข้อสันนิษฐานว่ามาเกิดใหม่ เขาจำอะไรได้หรือไม่ ? ทราบแต่เรื่องราวที่คุณผกาวลีสัมผัสเหตุการณ์ และตั้งเป็นข้อสังเกตขึ้นเป็นหนึ่งใน scenario ที่อาจเป็นไปได้ """
ข้อมูลนี้ แชร์เพื่อให้เกิดการบันทึก อีกหนึ่งประสบการณ์ของบางส่วนในกลไก Reincarnation สำหรับผู้ศึกษาวิจัย เพื่อนำไปตั้งเป็นสมมติฐานเพิ่มจากสิ่งที่เป็นความรู้เดิม และสำหรับบุคคลทั่วไปในการใช้ประโยชน์จากความเป็นไปได้ลักษณะนี้
ผู้เขียนไม่ทราบว่าลูกชายคุณอารีรัตน์ที่มีข้อสันนิษฐานว่ามาเกิดใหม่ เขาจำอะไรได้หรือไม่ ? ทราบแต่เรื่องราวที่คุณผกาวลีสัมผัสเหตุการณ์ และตั้งเป็นข้อสังเกตขึ้นเป็นหนึ่งใน scenario ที่อาจเป็นไปได้ """
ข้อมูลนี้ แชร์เพื่อให้เกิดการบันทึก อีกหนึ่งประสบการณ์ของบางส่วนในกลไก Reincarnation สำหรับผู้ศึกษาวิจัย เพื่อนำไปตั้งเป็นสมมติฐานเพิ่มจากสิ่งที่เป็นความรู้เดิม และสำหรับบุคคลทั่วไปในการใช้ประโยชน์จากความเป็นไปได้ลักษณะนี้
ในทางวิทยาศาสตร์ของการศึกษาด้านประสาทวิทยา หนึ่งในคำสำคัญคือ “mind & brain” ซึ่งกล่าวถึงบ่อยๆ โดย Endel Tulving หนึ่งในผู้บุกเบิกศาสตร์เกี่ยวกับความจำ ..
- โดย brain [สมอง] เป็นที่อยู่ของความจำ และเป็นที่เกิดของอารมณ์
- แต่ mind (จิตใจ) ที่ทำงานร่วมกับ brain [สมอง] นั้น ... ยังคงเป็นสิ่งที่ไม่ชัดเจนในวงการศึกษาวิจัย และยังต้องการการศึกษาต่อไป เมื่อร่างกายตายแล้ว mind น่าจะล่องลอยออกไป มีสถานะและชื่อเรียกใหม่ว่า "จิตวิญญาณ"
หลากหลายข้อสันนิษฐาน ระบุถึง การส่งผ่านบางสิ่งบางอย่างไปยังชีวิตใหม่ ยกตัวอย่างบทความ Do Reincarnation-type Cases Involve Consciousness Transfer? ในวารสารวิชาการ NeuroQuantology ปีที่ ๑๖ ฉบับที่ ๑๑ (พ.ย. ๒๐๑๘)
ผู้เขียนคาดว่า เมื่อร่างกายตายไป ส่วนที่จะมีบทบาทในการส่งผ่านสิ่งต่างๆ ข้ามชาติภพ คือ จิตวิญญาณ นั่นเอง และมีข้อสังเกตว่า หากมีการกลับมาเกิดใหม่จริง สิ่งที่น่าจะส่งผ่านได้มากที่สุดคือ skill (ซึ่งอาจสัมผัสกันในรูปแบบพรสวรรค์) และกรรมตามสนอง ( การที่มนุษย์เผชิญชะตากรรมในลักษณะที่เกิดแบบซ้ำๆเหมือน pattern ที่แต่ละคนมีแตกต่างกันออกไป)
อย่างกรณี ของคุณผกาวลี และลูกชายคุณอารีรัตน์ เป็นไปได้มาก ที่จะได้รับ skill ที่ถ่ายทอดข้ามภพชาติคือทักษะการใช้ภาษา
จากเนื้อหาที่นำเสนอมาทั้งหมด สนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่า
“บางคนมี สิทธิเลือกเกิดได้” !!!
เราจะเห็นจากเหตุการณ์ว่า “โปรเฟสเซอร์” เข้ามาช่วยคุณผกาวลีทำผลงานชั้นเยี่ยม ด้วยจิตใจดี มีความกรุณา แล้วค่อยมาพบกับคุณอารีรัตน์ หลังจากนั้น น่าจะศึกษาเกี่ยวกับ คุณอารีรัตน์ และรู้สึกว่าถ้าจะเกิดใหม่ ก็ชอบที่จะเกิดมาอยู่กับคุณอารีรัตน์และสามี โดย “โปรเฟสเซอร์” น่าจะเป็นนักวิชาการระดับสูง และด้วยเหตุนี้เอง จึงน่าจะชอบอยู่ในครอบครัวนักวิชาการระดับสูงด้วยกัน ...
จากนั้นจึงไปสู่กลไกติดต่อขออนุมัติ (ทำเรื่อง) เพื่อไปเกิดกับบิดามารดาคู่นี้ตามต้องการ ...
ผู้ใด สัมผัสประสบการณ์แบบคุณผกาวลี ย่อมมีพื้นฐานประสบการณ์มากพอ ที่จะไม่เชื่อถ้อยคำชี้นำ ที่ว่า “มนุษย์ไม่ได้ขอมาเกิด พ่อแม่ทำให้เขาเกิดมาเอง”
เพราะเหตุการณ์แสดงว่า “โปรเฟสเซอร์” น่าจะขอมาเกิดกับคุณอารีรัตน์ ไม่ใช่คุณอารีรัตน์ไปฉุด “โปรเฟสเซอร์” ให้เขามาเกิด เพราะตามเนื้อหา การดำเนินเหตุการณ์ “โปรเฟสเซอร์” คล้ายจะตามคุณอารีรัตน์กับสามีไปถึงเมืองจีน โดยส่วนตัวคุณอารีรัตน์ ไม่รู้จักและไม่เคยมีที่ท่าว่า จะได้สัมผัสกับจิตวิญญาณของ “โปรเฟสเซอร์” ด้วยซ้ำ ....
ถ้าคนอยากมีลูก ไปฉุดให้ใครมาเกิดได้ง่ายๆ คงได้มีลูกไปนานแล้ว ....
อย่างไรก็ดี ตัวอย่างกรณีนี้ ไม่ได้ให้ข้อสรุปครอบคลุมถึง การเกิดแบบสะเปะสะปะ โดยจิตวิญญาณไม่ได้ไปขอเกิดด้วย แต่สนับสนุนเฉพาะประเด็นที่ว่า จิตวิญญาณบางประเภทสามารถไปขอเกิดกับพ่อแม่ที่ตนต้องการ
ประเด็นนำมาสู่ข้อสรุปสำหรับคำถามที่ว่า ....
“ถ้าบางคนมี สิทธิเลือกเกิดได้ สิทธินั้นเป็นของคนประเภทใด” ?
สังเกตว่า “โปรเฟสเซอร์” มีจิตใจดี ให้ความช่วยเหลือ โดยไม่หวังผลตอบแทน ยอมลงทุนลงแรงช่วย แทนที่จะนั่งขี้เกียจ แล้วมองมนุษย์บุกบั่นทำงานอยู่เฉยๆ
.... โดยในการปรากฏพลัง ไม่มีลักษณะ ที่จะทำให้มนุษย์ตระหนกตกใจ หรือหวาดผวาใดๆ เหมือนในกรณีผู้คนอื่นๆ ที่มีประสบการณ์สัมผัสจิตวิญญาณหลายๆ คน ...
ดังนั้นอาจสรุปว่า สิทธิในการเลือกเกิดนั้น "เป็นของผู้มีจิตใจดีและมีสถานะของจิตที่สูงส่ง "
ถ้าจะให้ขยายขอบเขตการวิเคราะห์เพิ่มขึ้น ก็คงจะอยู่ในลักษณะที่ว่า จิตวิญญาณของคนดี ย่อมอยากไปเกิดในครอบครัวคนดีด้วยกัน ดังนั้น คนที่อยากได้จิตวิญญาณที่ดีมาขอเกิดด้วย ตัวเองจึงต้องเป็นคนดีก่อน ....
หากเหตุการณ์นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ มันก็เป็นข้อเตือนใจว่า ขณะเราใช้ชีวิตอยู่ในชาติภพนี้ เราควรพัฒนาตัวตนให้เป็นคนดี และยกสถานะของจิตใจให้สูงส่ง อีกทั้งเราควรสร้าง skill เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่ว่า มันจะได้ติดตัวไปยกระดับเราในชาติภพ ที่เราอาจต้องไปเกิดครั้งใหม่ เพราะจากเหตุการณ์นี้ น่าจะเป็นข้อพิสูจน์ที่เป็นไปได้มากทีเดียวว่า skill ส่งต่อข้ามภพข้ามชาติได้ ....
ส่วนพวกจิตใจชั่วช้าเนรคุณ ก็น่าจะถูกจัดอยู่ในกลุ่ม "เลือกเกิดไม่ได้" ทำให้ต้องไปเกิดแบบสะเปะสะปะ และยิ่งเนรคุณสะสมไปเรื่อยๆ อีกกี่ภพกี่ชาติ ก็จะยังเลือกเกิดไม่ได้อยู่นั่นแหละ ...
สรุปว่า
- อย่าชั่ว ดีที่สุด
- เป็นคนดีเข้าไว้
- สะสม Skill เป็น Investment ข้ามภพข้ามชาติ
ขอขอบคุณ คุณผกาวลีและท่านศาสตราจารย์ พร้อมทั้งคุณอารีรัตน์และลูกชาย เจ้าของประสบการณ์ที่มีคุณค่าชิ้นนี้ ...
ลิงค์เอกสารอ้างอิง
๑. https://uvamagazine.org/arti.../the_science_of_reincarnation
๒. https://www.linkedin.com/pulse/following-your-heart-dr-ian-stevenson-stacey-brody
ลิงค์เอกสารอ้างอิง
๑. https://uvamagazine.org/arti.../the_science_of_reincarnation
๒. https://www.linkedin.com/pulse/following-your-heart-dr-ian-stevenson-stacey-brody
บทความโดย : fb/LVanicha Liz