ลัทธิประหลาดที่กำลังครอบงำและขับเคลื่อนสังคมไทย
บทความโดย : ต.ตุลยากร
หลังจากที่มี ประกาศคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ออกมา เรื่อง นโยบายการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ลงวันที่ 23 เมษายน 2523 …. และรัฐบาลไทยสามารถเจรจาให้จีน ยุติการช่วยเหลือ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) … รวมถึงความขัดแย้งระหว่าง พคท.กับขบวนการนักศึกษา ที่เข้าป่าไปเมื่อช่วงตุลา 19 ทำให้สถานการณ์ภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ คลี่คลายลง จนนำไปสู่ การออกพระราชบัญญัติ ยกเลิก พระราชบัญญัติป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ในปีพ.ศ. 2543
ในความเป็นจริงแล้ว …. ต้องเข้าใจก่อนว่า แนวคิด สังคมนิยม ( Socialism ) ในประเทศไทยนั้น มีสองสายหลักๆ พคท. (รวมถึงขบวนการนักศึกษาบางส่วนที่ถูกจัดตั้งจาก พคท.) นั้นเป็น สังคมนิยมสายเหมา (Maoism) แต่ขบวนการนักศึกษาอีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นพวกที่ศรัทธาในแนวคิดปรัชญาสังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย (Democratic scientific socialism)
นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่าง พคท. กับ ขบวนการนักศึกษา ….
ดังนั้น การที่ พคท.ยุติบทบาท ไม่ได้หมายความว่า “แนวคิดสังคมนิยม จะหมดสิ้นไปจากประเทศไทย” แต่เป็นเพียงแค่ แนวคิดสังคมนิยมสายเหมา เพียงเท่านั้น ที่จบไป ….
แต่ในส่วนของขบวนการนักศึกษานั้น แม้ว่าบางส่วนจะยุติบทบาทไป แต่บางส่วน ก็ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ “สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย” ดังเดิม เพียงแต่ปรับเปลี่ยนแนวทางการเคลื่อนไหว ที่ซึ่งจากเดิมนั้นยึดถือแนวทางการเคลื่อนไหวแบบ War of Maneuver (การยึดอำนาจรัฐผ่านการปฏิวัติสังคมนิยม) แบบเลนิน เปลี่ยนมาเป็น War of Position ซึ่งเป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจนำ ( Hegemony ) ซึ่งเป็นแนวคิดของ อันโตนิโอ กรัมชี นักสังคมนิยมชาวอิตาลี ….
แต่ทั้งนี้ แนวคิดสังคมนิยมทั้งสองสาย ต่างก็มีต้นกำเนิดเดียวกัน ....
นั่นก็คือ จาก คาร์ล มาร์กซ์
มาร์กซ์มองว่า ระบบทุนนิยม คือ บ่อเกิดของปัญหาเหล่านี้ โดยในท้ายที่สุดแล้ว การกดขี่ของชนชั้นนำ ก็จะทำให้เกิดการขัดแย้งกันระหว่างชนชั้น จนนำไปสู่การปฏิวัติชนชั้นขึ้น .. สังคมจะก้าวไปสู่ ยุคคอมมิวนิสต์ ที่โลกจะไม่มีชนชั้นอีกต่อไป เป็นสังคมยูโทเปีย ….
แนวคิดเหล่านี้ ยังไม่ได้หายไป จากสังคมไทย .... มันยังคงมีการ "บ่มเพาะ" กันอยู่ในสถานศึกษา โดยบรรดา .... ผู้ที่ศรัทธาในอุดมการณ์ “สังคมนิยมวิทยาศาสตร์ประชาธิปไตย” เพียงแต่ ยังไม่ได้แพร่หลาย และไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด …. จนกระทั่งการเข้ามาของ "สื่อสังคมออนไลน์" ที่นำมาสู่การครอบงำทางไซเบอร์ …
เนื่องจากระบบของสื่อสังคมออนไลน์ จะรู้ว่าเราชอบอะไร เพื่อนำเสนอสิ่งที่เราสนใจ โดยหวังที่จะดึงเราให้อยู่กับแพลตฟอร์มนั้นๆให้นานที่สุด นำไปสู่การนำเสนอโฆษณา ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นรายได้หลักของสื่อสังคมออนไลน์ …
แต่พิษภัยที่แฝงเข้ามาก็คือ การที่ระบบนำเสนอเฉพาะสิ่งที่เราสนใจ ทำให้เราจะได้รับรู้เฉพาะสิ่งที่เราสนใจ
เมื่อการเมืองแบ่งขั้วฝั่ง อย่างชัดเจน เมื่อระบบรู้ว่าเราสนใจการเมืองฝั่งใด ก็จะเสนอเฉพาะสิ่งที่เราสนใจมาหน้าฟีดของเรา …
กลายเป็น Echo chamber นั่นคือ มองไปทางไหนก็จะเจอแต่คนที่มีความคิดทางเดียวกัน
..... จึงเป็นเรื่องง่าย ที่ ขบวนการสังคมนิยม เหล่านี้ จะใส่แนวความคิดไปยังคนรุ่นใหม่ๆ เพื่อชิงอำนาจนำตามทฤษฎีของ กรัมชี …
เนื่องจาก เมื่อใดที่เกิด Echo chamber แล้ว คนที่ถูกปลูกฝังชุดความคิดสังคมนิยม ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รับรู้ความเห็นของอีกฝั่งก่อนที่จะตัดสินใจเชื่อข้อมูลต่างๆ … จนนำไปสู่การเกิดขึ้นมาของขบวนการซ้ายใหม่ หรือ “Neo Marxism” ในปัจจุบัน...
พวก Neo Marxism ต้องการอะไร ?
สิ่งที่พวก Neo Marxism ต้องการ นั่นก็คือ
การขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมในอุดมคติ
การขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมในอุดมคติ
สานต่อการอภิวัฒน์สยาม 2475
ดังนั้นแล้ว จึงต้องทำการ “ล้มล้าง” หรือปรับโครงสร้าง (ซึ่งอ้างว่าปฏิรูป) เพื่อให้สิ่งตกค้างเหล่านี้หมดไป ….
โดยมีการดำเนินการในหลายมิติ ดูภาพปิรามิดทุนนิยมประกอบนะครับ (สังเกตุดูนะครับ ว่า คนเหล่านี้ จะเน้นโจมตีส่วนต่างๆตามปิรามิดทุนนิยมครับ)
โดยมีการดำเนินการในหลายมิติ ดูภาพปิรามิดทุนนิยมประกอบนะครับ (สังเกตุดูนะครับ ว่า คนเหล่านี้ จะเน้นโจมตีส่วนต่างๆตามปิรามิดทุนนิยมครับ)
ปรับเปลี่ยนโครงสร้างส่วนบน (superstructure) ด้วยการ "โจมตีวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามดั้งเดิม" ซึ่งพวก Neo Marxism มองว่า เป็นสิ่งที่ครอบงำสังคม โดยจะเริ่มบ่มเพาะ ความคิดของประชาชน ตั้งแต่อยู่ในโรงเรียน สร้างวาทกรรม ว่า .... วัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมเป็นพวกอำนาจนิยม เพื่อให้แนวคิดของคนรุ่นใหม่ "เอื้อ" ต่อการปลูกฝังความคิดสังคมนิยม ผ่านกระบวนการจัดตั้งรูปแบบต่างๆ..... ลดทอนอำนาจนำ ของสถาบันพระมหากษัตริย์
สิ่งที่พวก Neo Marxism ต้องทำให้ได้ ในประเด็นนี้ ก็คือ "การปรับแก้ ม.112"
โดยอย่างน้อยที่สุด คือ ปรับแก้ จากการที่ประชาชน ใครก็ได้ สามารถแจ้งความดำเนินคดี ... ให้เปลี่ยนมาเป็น สำนักพระราชวังเท่านั้น ที่จะสามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ ...ซึ่งด้วยพระเมตตา สถาบันพระมหากษัตริย์ย่อมไม่แจ้งความเอาผิดกับพสกนิกร .... ทำให้พวก Neo Marxism สามารถใช้สื่อในมือทุกช่องทาง ทำการ "โจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์" จนทำให้สถาบันสิ้นอำนาจนำ (Hegemony) ประชาชนไม่เชื่อถือ และ ไม่นับถืออีกต่อไป .....
การโจมตีสถาบันศาสนา
ในช่วงแรก พวก Neo Marxism อาจจะยังไม่แตะประเด็นนี้เท่าใดนัก เนื่องจาก ยังมีพันธมิตรจากจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ แต่ก็จะพยายามลดทอนคุณค่าของศาสนาในทุกวาระ ที่เป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนเท่าใดนัก เพราะทฤษฎีของมาร์กซ์ ที่เคยกล่าวว่า “ศาสนาคือยาฝิ่นของประชาชน” นั้นเป็นบริบทของศาสนาเทวนิยมในยุโรป ซึ่งแตกต่างไปจากบริบทของศาสนาพุทธ
สิ่งที่พวก Neo Marxism ต้องการ ก็คือ กองทัพที่มีผู้นำส่วนใหญ่เลื่อมใส ในลัทธิสังคมนิยมมาร์กซิสต์ .... ดังนั้นแล้ว จึงจะทำการปฏิรูปการศึกษาของกองทัพ นำนักเรียนนายร้อย , นักเรียนนายสิบ มาเรียนวิชาเกี่ยวกับรัฐศาสตร์ร่วมกับนักศึกษาพลเรือน เพื่อปลูกฝังแนวคิดของ คาร์ล มาร์กซ์ ให้กับนายทหารรุ่นใหม่ๆ ทำให้ในระยะยาวอีก 20-30 ปี ภายหน้า กองทัพก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นกองทัพของพวกมาร์กซิสต์โดยปริยาย …..
การโจมตี นายทุน
สิ่งที่ Neo Marxism พยายามทำมาโดยตลอด คือ การโจมดีกลุ่มนายทุน ( แต่มักเลี่ยงไปใช้คำว่า กลุ่มทุนผูกขาด ) เนื่องจากครอบครัวของแกนนำพวก Neo Marxism บางส่วน ก็จัดว่าเป็นนายทุนเช่นกัน....
เมื่อพวก Neo Marxism สามารถกุมอำนาจรัฐไว้ในมือได้แล้ว สิ่งที่เขาจะทำกับกลุ่มทุน ก็คือ การใช้มาตรการทางภาษีรีดเงิน ( ที่พวก Neo Marxism เชื่อว่าเป็นมูลค่าส่วนเกิน ซึ่งนายทุนขูดรีดจากกรรมาชีพไป ) เพื่อนำมาแจกจ่ายให้กับกรรมาชีพในรูปแบบของรัฐสวัสดิการ … ....
ซึ่งการดำเนินการทุกอย่างนั้น มุ่งไปสู่การครองอำนาจนำ (Hegemony) ได้รับการยินยอม (Consent) ให้ก้าวสู่อำนาจรัฐจากประชาสังคม (Civil society) ทุกส่วน จากนั้นก็จะนำสังคมเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมในอุดมคติในที่สุด
สิ่งเหล่านี้อาจจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ภายในเวลาปีสองปี แต่ตามหลัก War of Position ของกรัมชี แล้ว เหล่า Neo Marxism ก็พร้อมที่จะทำสงครามอุดมการณ์ที่ยืดเยื้อ ผ่านการจัดตั้งจากรุ่นสู่รุ่น ….
หลายคนอาจจะไม่ได้คิดว่านี่คือปัญหา เพราะสังคมในอุดมคติ หรือรัฐสวัสดิการ มันก็ต้องดีกับทุกคนสิ …. ? แต่ก่อนจะถึงสังคมในอุดมคติ สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นก่อน นั่นก็คือ
“การถอนรากถอนโคนความคิดเห็นต่างๆของระบบนายทุน รวมทั้งกำจัดวิธีดำเนินชีวิตแบบนายทุนให้หมดสิ้นไป”
เพราะหากปล่อยให้มี “สิ่งตกค้างของระบบเก่า” อยู่ต่อไปในโครงสร้างส่วนบน ก็จะสามารถบ่อนทำลายระบบสังคมนิยมจนล่มสลายได้
ดังนั้น เมื่อสามารถครองอำนาจรัฐได้โดยเด็ดขาดแล้ว จะต้องกวาดล้างสิ่งตกค้างของระบบเก่าให้สิ้นซาก
คำถามต่อไป คือ .....สิ่งที่สังคมไทยเป็นอยู่ในปัจจุบันและพวกเรา เป็นสิ่งตกค้าง ของระบบเก่าตามทัศนะของพวก Neo Marxism หรือไม่ ? …..
บทความโดย : ต.ตุลยากร
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง ....