ในโลกยุคปัจจุบัน ที่เราถูกจดจำด้วยเลขบัตรประชาชน และถูกตามรอยด้วย GPS จากโทรศัพท์มือถือ และทิ้งร่องรอยไว้ในโซเชียลมีเดียแทบทุกวินาที การ "หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย" ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย สำหรับชีวิตคนเราในยุคสมัยนี้ ...... แต่คุณเชื่อหรือไม่ครับว่า ในประเทศญี่ปุ่น มีบริการหนึ่ง ที่ช่วยให้การ "หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย" เกิดขึ้นได้ ...
ปรากฏการณ์นี้คือเรื่องจริง และมีคนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งใช้ บริการนี้ ปีละกว่าหมื่นคน พวกเขาถูกเรียกว่า "โจฮัตสึ"(Jouhatsu ) หรือ "มนุษย์ผู้ระเหยกลายเป็นไอ"
ทำไมต้องระเหย ?
ในวัฒนธรรมญี่ปุ่น "การรักษาหน้า" (Menboku) และ "ความอับอาย" (Haji) มีอิทธิพลต่อชีวิต มากกว่าความตาย สำหรับคนบางกลุ่ม เมื่อพวกเขาต้องประสบกับความล้มเหลวอย่างรุนแรงในชีวิต เช่น ความรุนแรงในครอบครัว ผู้หญิงที่ต้องการหนีจากสามีที่ทำร้ายร่างกาย , ธุรกิจล้มละลาย, ตกงาน, หนีจากการโดนข่มขู่ของแก๊งทวงหนี้ (หนี้นอกระบบ) ที่ตามมาราวีถึงบ้าน หรือ แม้แต่การสอบตก การต้องอยู่สู้หน้าคนในครอบครัว และสังคม นั้น กลายเป็นความทุกข์ ที่ทรมานยิ่งกว่าการหายตัวไป
แต่แทนที่จะเลือกการฆ่าตัวตาย (Jisatsu) หลายคนกลับเลือก "การฆ่าตัวตายทางสังคม" นั่นคือ การละทิ้งอัตลักษณ์เดิมทั้งหมด เพื่อไปเริ่มต้นใหม่ในฐานะคนนิรนาม นี่คือทางออก ที่ช่วยให้พวกเขายังมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องเผชิญกับสายตาที่ตัดสินจากคนรอบข้าง
ผู้ช่วยจัดฉากการหายตัว - ธุรกิจที่ชื่อว่า "โยนิเกะ-ยะ"
คำว่า โยนิเกะยะ (Yonige-ya - 夜逃げ屋) มาจากคำว่า Yonige (หนีตอนกลางคืน) และ Ya (ร้านหรือผู้ให้บริการ) ธุรกิจนี้จึงมีความหมายว่า "บริษัทรับจ้างช่วยย้ายบ้านหนี" ครับ บริษัทเหล่านี้จะให้บริการ "จัดฉาก" การหนีที่สมบูรณ์แบบ
ธุรกิจนี้ไม่ใช่บริษัทขนย้ายของทั่วไป แต่เป็นการให้บริการ "พาหนี" ออกจากสถานการณ์ที่เลวร้าย หรืออันตราย โดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่มีอยู่จริงและเติบโตในสังคมญี่ปุ่นมานานหลายทศวรรษ
บริการของ Yonige-ya มีอะไรบ้าง?
- การย้ายออก แบบสายฟ้าแลบ ... มักทำในตอนกลางคืน หรือในช่วงเวลาที่คู่กรณี (เช่น สามีที่ทำร้ายร่างกาย หรือเจ้าหนี้) ไม่อยู่บ้าน
- การปกปิดร่องรอย: พนักงานจะใช้รถขนส่งที่ดูเหมือนรถทั่วไป ไม่ติดป้ายบริษัท และจะทำงานให้เงียบที่สุดเพื่อไม่ให้เพื่อนบ้านสงสัย
- การจัดหาที่พักพิง : หลายบริษัทฯ มีเครือข่ายในการจัดหา "ที่อยู่ลับ" หรืออพาร์ตเมนต์ที่สืบหาตัวได้ยาก
- การให้คำปรึกษา : บางแห่งมีบริการแนะนำด้านกฎหมาย การเปลี่ยนชื่อ หรือการหางานใหม่ เพื่อให้ลูกค้าเริ่มชีวิตใหม่ได้จริงๆ
ค่าบริการ ราคาเท่าไหร่ ?
.... ไม่แน่นอนครับ ขึ้นอยู่กับความเสี่ยง ระยะทาง และจำนวนข้าวของ โดยปกติ จะเริ่มตั้งแต่ 50,000 เยน ไปจนถึง 500,000 เยน ( หรือหากเทียบกับ บาทไทย คือ ประมาณ 12,000 - 100,000 บาท) หรือสูงกว่านั้นหากมีความเสี่ยงสูง และบริษัทส่วนใหญ่จะ "คัดกรอง" ลูกค้า พวกเขาจะไม่ช่วยอาชญากรหนีคดี แต่จะเน้นช่วย "เหยื่อ" ที่ไม่มีทางออกในชีวิต
ทำไมคนญี่ปุ่น ถึงยอมจ่ายแพง ?
( มันก็แค่เก็บข้าวเก็บของหนีเอง ก็ได้ - ทำไมต้องเสียเงิน หลายหมื่นบาท)
ถ้ามองแค่ "การย้ายของ" เราอาจจะทำเองได้ แต่ในบริบทของสังคมญี่ปุ่น กับสถานการณ์ที่บีบคั้นและความต้องการ "หายไปอย่างถาวร" อย่างหมดจด.... การจ้างมืออาชีพ (Yonige-ya) มีเหตุผลเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่าแค่การขนย้ายครับ และนี่คือ 4 เหตุผลหลัก ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงยอมจ่ายเงินแพงๆ แทนที่จะทำเอง
1. ความเสี่ยงจากการถูก "ดักรอ" หรือ "สะกดรอย"
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ใช้บริการนี้ ไม่ได้หนีแค่เพราะความอาย แต่หนีจากอันตรายบางอย่าง ..... เช่น หนีจากเจ้าหนี้ เงินกู้นอกระบบ พวกนี้มักจะมีคนเฝ้าสังเกตการณ์ หรือมีเครือข่ายที่คอยดูความเคลื่อนไหว หากคุณขนของเอง ด้วยรถส่วนตัว คุณจะถูกตามได้ง่ายมาก หรือ หนีความรุนแรงในครอบครัว ในกรณีที่ต้องหนีจากคู่สมรส ที่ทำร้ายร่างกาย การขยับตัวเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่ความรุนแรงถึงชีวิต มืออาชีพจะรู้วิธี "แทรกซึม" เข้าไปพาตัวออกมาในเสี้ยวนาทีที่ปลอดภัยที่สุด
2. เทคนิคการ "พรางตัว" (Camouflage)
การที่คุณขนของขึ้นรถกระบะตอนกลางคืน เพื่อนบ้านจะสงสัยทันที และในญี่ปุ่น "เพื่อนบ้าน" คือแหล่งข้อมูลชั้นดีของนักสืบเอกชนหรือเจ้าหนี้ บริษัทฯ เหล่านี้มักจะปลอมเป็น "รถส่งพัสดุ" หรือ "รถขยะ" หรือแม้แต่ "รถดูดส้วม" เพื่อให้การจอดหน้าบ้านลูกค้า ในยามวิกาลได้แบบไม่น่าสงสัย รวมถึง การมีทีมงานมืออาชีพ 3-4 คน สามารถเคลียร์ห้องทั้งห้อง ให้ว่างเปล่าได้ ภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที ซึ่งถ้าทำเองอาจใช้เวลาทั้งคืนจนเป็นที่สังเกต
3. การตัดวงจร "Digital & Paper Trail"
นี่คือส่วนที่ยากที่สุดของการทำเองครับ บริษัทเหล่านี้ ไม่ได้แค่ขนของ แต่ทำหน้าที่เป็น "ที่ปรึกษาการล่องหน" ด้วย ... พวกเขาจะช่วยคัดกรองว่า ของชิ้นไหนที่ "ห้ามเอาไป" เพราะมี GPS หรือชิปที่ติดตามได้ (เช่น บัตรสมาชิกบางประเภท หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) รวมถึง การจัดการเอกสาร ต่างๆ พวกเขาจะแนะนำวิธีจัดการกับทะเบียนราษฎร์ , จดหมายลาออก หรือการโอนย้ายสิทธิทางภาษีโดย ไม่ให้ทิ้งที่อยู่ใหม่ไว้ในระบบราชการ
( มันก็แค่เก็บข้าวเก็บของหนีเอง ก็ได้ - ทำไมต้องเสียเงิน หลายหมื่นบาท)
ถ้ามองแค่ "การย้ายของ" เราอาจจะทำเองได้ แต่ในบริบทของสังคมญี่ปุ่น กับสถานการณ์ที่บีบคั้นและความต้องการ "หายไปอย่างถาวร" อย่างหมดจด.... การจ้างมืออาชีพ (Yonige-ya) มีเหตุผลเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่าแค่การขนย้ายครับ และนี่คือ 4 เหตุผลหลัก ว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงยอมจ่ายเงินแพงๆ แทนที่จะทำเอง
1. ความเสี่ยงจากการถูก "ดักรอ" หรือ "สะกดรอย"
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่ใช้บริการนี้ ไม่ได้หนีแค่เพราะความอาย แต่หนีจากอันตรายบางอย่าง ..... เช่น หนีจากเจ้าหนี้ เงินกู้นอกระบบ พวกนี้มักจะมีคนเฝ้าสังเกตการณ์ หรือมีเครือข่ายที่คอยดูความเคลื่อนไหว หากคุณขนของเอง ด้วยรถส่วนตัว คุณจะถูกตามได้ง่ายมาก หรือ หนีความรุนแรงในครอบครัว ในกรณีที่ต้องหนีจากคู่สมรส ที่ทำร้ายร่างกาย การขยับตัวเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่ความรุนแรงถึงชีวิต มืออาชีพจะรู้วิธี "แทรกซึม" เข้าไปพาตัวออกมาในเสี้ยวนาทีที่ปลอดภัยที่สุด
2. เทคนิคการ "พรางตัว" (Camouflage)
การที่คุณขนของขึ้นรถกระบะตอนกลางคืน เพื่อนบ้านจะสงสัยทันที และในญี่ปุ่น "เพื่อนบ้าน" คือแหล่งข้อมูลชั้นดีของนักสืบเอกชนหรือเจ้าหนี้ บริษัทฯ เหล่านี้มักจะปลอมเป็น "รถส่งพัสดุ" หรือ "รถขยะ" หรือแม้แต่ "รถดูดส้วม" เพื่อให้การจอดหน้าบ้านลูกค้า ในยามวิกาลได้แบบไม่น่าสงสัย รวมถึง การมีทีมงานมืออาชีพ 3-4 คน สามารถเคลียร์ห้องทั้งห้อง ให้ว่างเปล่าได้ ภายในเวลาไม่ถึง 30 นาที ซึ่งถ้าทำเองอาจใช้เวลาทั้งคืนจนเป็นที่สังเกต
3. การตัดวงจร "Digital & Paper Trail"
นี่คือส่วนที่ยากที่สุดของการทำเองครับ บริษัทเหล่านี้ ไม่ได้แค่ขนของ แต่ทำหน้าที่เป็น "ที่ปรึกษาการล่องหน" ด้วย ... พวกเขาจะช่วยคัดกรองว่า ของชิ้นไหนที่ "ห้ามเอาไป" เพราะมี GPS หรือชิปที่ติดตามได้ (เช่น บัตรสมาชิกบางประเภท หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์) รวมถึง การจัดการเอกสาร ต่างๆ พวกเขาจะแนะนำวิธีจัดการกับทะเบียนราษฎร์ , จดหมายลาออก หรือการโอนย้ายสิทธิทางภาษีโดย ไม่ให้ทิ้งที่อยู่ใหม่ไว้ในระบบราชการ
4. สภาพจิตใจที่แตกสลาย
คนที่ตัดสินใจเป็น "โจฮัตสึ" มักอยู่ในภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือมีอาการแพนิก จนไม่มีพละกำลังพอที่จะคิดวางแผนเรื่องซับซ้อนได้ หรือแม้แต่แรงจะยกตู้ยกเตียงด้วยตัวเองได้ .... ก็แทบจะไม่มี ... การจ้างคนมาจัดการทุกอย่างให้ จะช่วยให้พวกเขาสามารถ "เดินออกไปแต่ตัว" ได้จริงๆ ลดโอกาสที่จะเปลี่ยนใจหรือทำพลาดเพราะความลนลาน ....
คนที่ตัดสินใจเป็น "โจฮัตสึ" มักอยู่ในภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือมีอาการแพนิก จนไม่มีพละกำลังพอที่จะคิดวางแผนเรื่องซับซ้อนได้ หรือแม้แต่แรงจะยกตู้ยกเตียงด้วยตัวเองได้ .... ก็แทบจะไม่มี ... การจ้างคนมาจัดการทุกอย่างให้ จะช่วยให้พวกเขาสามารถ "เดินออกไปแต่ตัว" ได้จริงๆ ลดโอกาสที่จะเปลี่ยนใจหรือทำพลาดเพราะความลนลาน ....
- ธุรกิจนี้เคยโด่งดังมากจนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์และซีรีส์ในญี่ปุ่นชื่อว่า "Yonigeya Honpo" ซึ่งทำให้คนทั่วไปเริ่มเข้าใจและเห็นใจคนที่ต้องใช้บริการนี้มากขึ้น
- ญี่ปุ่นมีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวด ... ตำรวจไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลทางการเงิน เช่น การกด ATM , การใช้บัตรเครดิต หรือประวัติการเคลื่อนไหวได้ เว้นแต่จะเป็นคดีอาญาร้ายแรงหรือมีอันตรายต่อชีวิต ที่สำคัญกว่านั้น การย้ายถิ่นฐาน และการไม่ติดต่อครอบครัว ถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ใหญ่ตามกฎหมายญี่ปุ่น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากใครสักคนตัดสินใจ “หายไป” โดยไม่ละเมิดกฎหมาย รัฐไม่มีอำนาจเข้าไปดึงเขากลับมา
"โจฮัตสึ" (Jouhatsu) เขาย้ายไปอยู่ที่ไหนกันนะ ?
คำตอบส่วนใหญ่ คือ ย่าน San'ya ในโตเกียว หรือ Kamagasaki ในโอซาก้า ย่านเหล่านี้เปรียบเสมือน "หลุมดำ" ในแผนที่ญี่ปุ่น หรือเรียกกันว่า "สลัมแนวตั้ง" หรือย่านแรงงานรายวันที่เป็นแหล่งกบดานของคนโจฮัตสึ
ที่นี่เป็นแหล่งรวมแรงงานรายวัน ที่ไม่ต้องการเอกสารยืนยันตัวตน ที่พักราคาถูก (Doya) ที่ยอมให้เข้าพักโดยไม่ต้องใช้ชื่อจริง หรือเอกสารใดๆ ทุกคนในสังคมย่านนี้ จะมีเข้าใจร่วมกัน ว่า "จะไม่ถามถึงอดีตของกันและกัน"
ถ้า Yonige-ya คือ "เครื่องมือ" ที่ช่วยให้คนหายตัวไปได้ง่ายขึ้น และการหายตัวไปของ "โจฮัตสึ" ก็คือ "สาเหตุต้นทาง" ที่ทำให้คนจำนวนมาก หลุดออกจากระบบการดูแลของสังคม และครอบครัว จนนำไปสู่จุดจบแบบ Kodokushi - โคโดคุชิ (孤独死) หรือ การเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาเคยเป็นใคร ? อย่างที่เราได้ยินข่าวเรื่องทำนองนี้ในประเทศญี่ปุ่นอยู่บ่อยครั้ง ไงครับ ....
"สุดท้ายแล้ว 'โยนิเกะยะ' อาจเป็นเพียงประตูลับที่พาผู้คนหนีจากพายุในใจ เพื่อไปติดเกาะร้างแห่งความโดดเดี่ยว เพราะในดินแดนที่ผู้คนเลือกจะ 'ระเหย' หายไปเพื่อรักษาศักดิ์ศรี ... เส้นกั้นระหว่าง 'อิสรภาพที่ปรารถนา' กับ 'การจากลาที่ไร้คนจดจำ' นั้นช่างบางเบาเหลือเกิน"
แหล่งอ้างอิง (References)
- BBC News (2020): "The better way to disappear" – บทความที่สัมภาษณ์ทั้งคนที่เป็นโจฮัตสึและเจ้าของธุรกิจ Yonige-ya
- Time Magazine (2017): "Japan's 'Evaporated' People are Finally Being Found" – รายงานเจาะลึกเชิงสังคมวิทยาเกี่ยวกับกลุ่มคนหาย
- หนังสือ "The Vanished" (Les Évaporés): เขียนโดย Léna Mauger นักข่าวชาวฝรั่งเศสที่ลงพื้นที่สำรวจย่านซันยะและสัมภาษณ์กลุ่มโจฮัตสึเป็นเวลาหลายปี (หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลกและได้รับการแปลหลายภาษา)
- Al Jazeera (Documentary): "The Evaporated People of Japan" – สารคดีที่ถ่ายทำในพื้นที่จริงและแสดงให้เห็นว่าธุรกิจรับจ้างหนีทำงานอย่างไร
- National Police Agency (NPA) of Japan: สถิติคนหายรายปีที่มียอดสูงถึง 80,000 รายต่อปี เป็นข้อมูลทางการที่ยืนยันว่าปัญหานี้เป็นวิกฤตระดับชาติ
Tweet




.jpg)
