ช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ... โลกยังไม่รู้จักความบันเทิงที่เรียกว่า “ภาพถ่ายที่เคลื่อนไหวได้” (ในขณะนั้น ยังไม่รู้จักคำว่า ภาพยนตร์) จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สำคัญ ในค่ำคืนหนึ่ง ที่กรุงปารีส ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของอุตสาหกรรมหมื่นล้านในปัจจุบัน และทำให้วันที่ 28 ธันวาคม ของทุกปี ถูกจารึกไว้ในฐานะ วันกำเนิดภาพยนตร์โลก (World Cinema Day)
วันกำเนิดภาพยนตร์โลก (World Cinema Day)
วันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1895 คือ วันที่ พี่น้องลูมิแอร์ ได้จัดฉายภาพยนตร์เพื่อการพาณิชย์ (เก็บค่าเข้าชม) ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ณ ห้องใต้ถุน ของร้านกาแฟ Grand Café บนถนน Boulevard des Capucines ในกรุงปารีส
คืนนั้นมีผู้เข้าชมเพียง 33 คน ที่ยอมจ่ายเงิน 1 ฟรังค์ เพื่อเข้าไปดู "รูปภาพที่มีชีวิต" บนผนังขาว พวกเขาได้เห็นภาพพนักงานเดินออกจากโรงงาน, ภาพเด็กชายแกล้งคนรดน้ำต้นไม้ และภาพชีวิตประจำวันอื่นๆ รวม 10 เรื่อง เฉลี่ยเรื่องละไม่ถึง 1 นาที
ในวันนั้น ภาพยนตร์ไม่ได้ถือกำเนิดในฐานะศิลปะ แต่มันถือกำเนิดในฐานะ ประสบการณ์ใหม่ของมนุษย์ และเบื้องหลังแสงนั้น คือ สองพี่น้องชาวฝรั่งเศส ที่ชื่อว่า ออกุสต์ (Auguste Lumière) และ หลุยส์ (Louis Lumière)และด้วยพลังของ "การบอกต่อ" (Word of Mouth) ทำให้ในวันต่อๆ มา ฝูงชนเริ่มมาเข้าแถวรอจนยาวเหยียดบนถนน Boulevard des Capucines ภายในเวลาไม่ถึงเดือน มีผู้เข้าชมเฉลี่ยวันละ 2,000 - 2,500 คน
รายได้มหาศาล จากที่เก็บคนละ 1 ฟรังค์ พี่น้องลูมิแอร์เริ่มทำรายได้วันละกว่า 2,500 ฟรังค์ ซึ่งถือเป็นเงินจำนวนมาก ในสมัยนั้น ... ซึ่ง 1 ฟรังค์ ในสมัยนั้น สามารถซื้อขนมปังชั้นดี ได้หลายก้อน หรือสามารถจ่ายค่าแรงคนงานทั่วไป ได้เกือบครึ่งวัน ( เทียบได้กับเงินประมาณ 150-200 บาทในปัจจุบัน) ดังนั้น เมื่อมีคนดู 2,500 คนต่อวัน รายได้ 2,500 ฟรังค์ จึงถือเป็นรายได้ที่ "มหาศาล" สำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นในห้องใต้ดินเล็กๆ
รายได้ระดับนี้ ทำให้พี่น้องลูมิแอร์ สามารถขยายอาณาจักรภาพยนตร์ ไปทั่วโลก ได้ในเวลาอันรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งพานายทุนข้างนอกเลยครับ
** เกร็ดน่ารู้ : ในปีนั้นทองคำ 1 กิโลกรัม มีราคาประมาณ 3,400 ฟรังค์ ดังนั้นรายได้เพียง 1-2 วันของพวกเขา ก็เกือบจะซื้อทองคำหนัก 1 กิโลกรัมได้แล้วครับ!
บทสรุปการเติบโตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์
- ปี ค.ศ. 1896 ภาพยนตร์ กลายเป็นความบันเทิงกระแสหลัก ในปารีส ลอนดอน และนิวยอร์ก
- ปี ค.ศ. 1900 ในงาน World’s Fair ที่ปารีส พี่น้องลูมิแอร์ โชว์การฉายหนังบนจอขนาดยักษ์ (21 x 16 เมตร) ให้คนดูพร้อมกันเป็นหมื่นคน
- ปี ค.ศ. 1905 เริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมภาพยนตร์ มีการสร้างสตูดิโอ และระบบโรงหนังที่ชัดเจน
เรียกได้ว่าจากห้องใต้ดินเล็กๆ ในวันนั้น ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ "ภาพยนตร์" กลายเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อความคิดและความรู้สึกของมนุษย์มากที่สุดอย่างหนึ่งของโลกครับ
แต่... มีเรื่องหนึ่งที่คุณอาจจะไม่เชื่อ ?!
มีเรื่องหนึ่งที่สร้างความแปลกใจ .... คือ หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูง หลุยส์ ลูมิแอร์ กลับเคยกล่าวไว้ว่า
"ภาพยนตร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ ที่ไม่มีอนาคตทางการค้า"
เขาเชื่อว่า .... ผู้คนจะตื่นเต้นเพียงแค่ชั่วคราว แล้วก็เบื่อไป ทำให้ในปี ค.ศ. 1905 ทั้งคู่ ตัดสินใจเลิกทำหนัง และหันไปวิจัยเรื่อง "ภาพถ่ายสี" แทน ....
แต่ประวัติศาสตร์หลังจากนั้น ได้พิสูจน์แล้วว่า พวกเขาคิดผิด ภาพยนตร์ไม่ได้หายไปไหน แต่มันได้กลายเป็นภาษาสากลของมนุษย์ เป็นเครื่องมือบันทึกประวัติศาสตร์ และเป็นศิลปะแขนงที่ 7 ของโลก !!!
🧑🤝🧑สองพี่น้องลูมิแอร์ คือใคร กันแน่... ?
ทั้งคู่เติบโตมาในครอบครัวที่คลุกคลี อยู่กับงานศิลปะ และวิทยาศาสตร์ โดยพ่อของพวกเขา อองตวน ลูมิแอร์ (Antoine Lumière) เปิดโรงงานผลิตแผ่นภาพถ่าย (Photographic plates) อยู่ที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส- หลุยส์ ลูมิแอร์ (คนน้อง) คืออัจฉริยะด้านเทคนิค เขาหลงใหลในกลไก และการทดลอง ตั้งแต่อายุ 17 ปี เขาได้คิดค้นสูตรเคมีสำหรับ "แผ่นภาพแห้ง" (Dry Plate) ที่ช่วยให้การถ่ายภาพสะดวกขึ้นมาก จนทำให้โรงงานของพ่อประสบความสำเร็จอย่างสูง
- ออกุสต์ ลูมิแอร์ (คนพี่) เป็นผู้ช่วย และผู้บริหารที่เก่งกาจ ทั้งคู่ทำงานร่วมกันเหมือนเป็นคนๆ เดียวกันเสมอ
“เราจะทำให้ภาพเคลื่อนไหวได้อย่างไร — และให้คนดูมันพร้อมกันได้” แค่นั้นจริงๆ ...
กำเนิด "ซีเนมาโตกราฟ" (Cinématographe)
" ... เครื่องเล็ก ๆ ที่เปลี่ยนวิธีมองโลก เครื่องที่สามารถ ถ่าย บันทึก และฉายภาพเคลื่อนไหว ได้ในเครื่องเดียว ... มันเบา เคลื่อนย้ายได้ และใช้งานจริง ไม่ใช่ของเล่นในห้องทดลอง ..."
จุดเริ่มต้นเกิดขึ้นเมื่อ พ่อของพวกเขาได้ไปเห็นเครื่อง "คิเนโตสโคป" (Kinetoscope) ของ โทมัส เอดิสัน ที่ปารีส แล้วกลับมาบอกลูกๆ ว่า "พวกเจ้าลองทำให้ภาพเคลื่อนไหวออกมาจากกล่องนั่น แล้วฉายขึ้นฝาผนังให้คนดูพร้อมกันสิ"
คิเนโตสโคป (Kinetoscope) มีลักษณะเป็น "ตู้ไม้สี่เหลี่ยม" ขนาดใหญ่ (ประมาณตู้เกมเก่า) ด้านบนจะมี "ช่องมอง" (Peephole) เล็กๆ โดยผู้ชมต้องก้มลงไปเอาตาแนบกับช่องนั้นเพื่อดูภาพเคลื่อนไหวข้างใน ***ด้วยลักษณะนี้ คนไทยในสมัยนั้น จึงมักเรียกกันว่า "ถ้ำมอง" นั่นเองครับ
คิเนโตสโคป (Kinetoscope) มีลักษณะเป็น "ตู้ไม้สี่เหลี่ยม" ขนาดใหญ่ (ประมาณตู้เกมเก่า) ด้านบนจะมี "ช่องมอง" (Peephole) เล็กๆ โดยผู้ชมต้องก้มลงไปเอาตาแนบกับช่องนั้นเพื่อดูภาพเคลื่อนไหวข้างใน ***ด้วยลักษณะนี้ คนไทยในสมัยนั้น จึงมักเรียกกันว่า "ถ้ำมอง" นั่นเองครับ
หลุยส์ใช้เวลาสร้าง เพียงไม่กี่เดือนในช่วงปี ค.ศ. 1894 ในการแก้ปัญหาที่เอดิสันทำไม่ได้ โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจจาก "กลไกของจักรเย็บผ้า"
เขานำกลไกการเลื่อนผ้าของจักร มาประยุกต์ใช้กับการดึงฟิล์ม เพื่อให้ฟิล์มหยุดนิ่งตรงหน้าเลนส์ทีละเฟรมอย่างแม่นยำ ผลลัพธ์ คือ เครื่อง "Cinématographe" ที่มีน้ำหนักเบา (เพียง 5 กิโลกรัม) ขณะที่เครื่องของเอดิสันหนักหลายร้อยกิโลกรัมและต้องใช้ไฟฟ้ามหาศาล
รายละเอียดเชิงเทคนิคของเครื่อง Cinématographe
และแม้ว่า ในท้ายที่สุด ออกุสต์ และ หลุยส์ ลูมิแอร์ จะหันหลังให้กับ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 1905 เพราะเชื่อว่ามันเป็นเพียง "สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่มีอนาคต" แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม แต่อย่างน้อย สิ่งที่พวกเขาสร้างไว้ในห้องใต้ดินของ Grand Café ได้กลายเป็นรากฐานที่เปลี่ยนแปลงโลกไปอย่างสิ้นเชิง ....
พี่น้องลูมิแอร์ได้มอบ "ดวงตา" ให้กับมนุษยชาติ พวกเขาทำให้เรา สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์จริง ความเคลื่อนไหวของผู้คน และความงามของธรรมชาติเอาไว้ได้ตลอดกาล เครื่อง Cinématographe ของพวกเขาไม่ได้ฉายเพียงแค่ภาพบนผนัง แต่ได้ฉายภาพประวัติศาสตร์ที่จับต้องได้เป็นครั้งแรก
เมื่อภารกิจของพวกเขาจบลง โลกก็ได้เรียนรู้ที่จะ "บันทึกความจริง" แต่อีกด้านหนึ่งของปารีส ยังมีชายคนหนึ่งที่มองเห็นมากกว่านั้น... เขาไม่ได้ต้องการบันทึกโลกที่เขาเห็น แต่เขาต้องการสร้าง "โลกที่ไม่เคยมีอยู่จริง" ขึ้นมาบนแผ่นฟิล์ม ชายคนนั้นชื่อ ฌอร์ฌ เมเลียส (Georges Méliès) ใช่ครับ
ในตอนต่อไป : เตรียมพบกับเรื่องราวของชายผู้ใช้มายากลสะกดโลก และการค้นพบ "ความลับของการตัดต่อ" โดยบังเอิญที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไปตลอดกาล... ฌอร์ฌ เมเลียส: พ่อมดแห่งจอเงิน!
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
เขานำกลไกการเลื่อนผ้าของจักร มาประยุกต์ใช้กับการดึงฟิล์ม เพื่อให้ฟิล์มหยุดนิ่งตรงหน้าเลนส์ทีละเฟรมอย่างแม่นยำ ผลลัพธ์ คือ เครื่อง "Cinématographe" ที่มีน้ำหนักเบา (เพียง 5 กิโลกรัม) ขณะที่เครื่องของเอดิสันหนักหลายร้อยกิโลกรัมและต้องใช้ไฟฟ้ามหาศาล
รายละเอียดเชิงเทคนิคของเครื่อง Cinématographe
- นวัตกรรม "3 in 1" การรวม 3 ฟังก์ชันไว้ในเครื่องเดียว คือ เป็นทั้งกล้อง (Camera), เครื่องพิมพ์ฟิล์ม (Printer) และเครื่องฉาย (Projector)
- น้ำหนักเบา เครื่องนี้หนักไม่ถึง 5 กิโลกรัม ทำให้ช่างภาพพกพาไปถ่ายทำได้ทั่วโลก (ต่างจากเครื่องของเอดิสันที่หนักและเคลื่อนย้ายไม่ได้ )
- ระบบการดึงฟิล์มใช้หลักการแบบเดียวกับ "ตีนผีของจักรเย็บผ้า" (Sewing machine mechanism) ที่ดึงฟิล์มให้หยุดนิ่งเป็นจังหวะเพื่อให้เกิดภาพที่คมชัด
- ในสมัยนั้นใช้การหมุนด้วยมือ โดยความเร็วอยู่ที่ประมาณ 16-18 ภาพต่อวินาที (ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานของหนังเงียบในยุคต่อมา )
- การจดสิทธิบัตร: เครื่องนี้จดสิทธิบัตรเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1895 ก่อนที่จะนำมาฉายจริงในคืนวันที่ 28 ธันวาคมปีเดียวกัน
- การดูหนัง
- โรงภาพยนตร์
- และภาษาภาพที่โลกใช้ร่วมกันมาจนถึงวันนี้ ....
ทุกเทศกาลภาพยนตร์ ทุกจอเงิน ทุกแพลตฟอร์มสตรีมมิง ล้วนย้อนรอย กลับไปยังค่ำคืนในห้องใต้ดินเล็กๆ ในปารีส และสองพี่น้อง ที่ไม่ได้คิดว่าตนเองกำลังสร้างประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ ....
และแม้ว่า ในท้ายที่สุด ออกุสต์ และ หลุยส์ ลูมิแอร์ จะหันหลังให้กับ อุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปี ค.ศ. 1905 เพราะเชื่อว่ามันเป็นเพียง "สิ่งประดิษฐ์ที่ไม่มีอนาคต" แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม แต่อย่างน้อย สิ่งที่พวกเขาสร้างไว้ในห้องใต้ดินของ Grand Café ได้กลายเป็นรากฐานที่เปลี่ยนแปลงโลกไปอย่างสิ้นเชิง ....
พี่น้องลูมิแอร์ได้มอบ "ดวงตา" ให้กับมนุษยชาติ พวกเขาทำให้เรา สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์จริง ความเคลื่อนไหวของผู้คน และความงามของธรรมชาติเอาไว้ได้ตลอดกาล เครื่อง Cinématographe ของพวกเขาไม่ได้ฉายเพียงแค่ภาพบนผนัง แต่ได้ฉายภาพประวัติศาสตร์ที่จับต้องได้เป็นครั้งแรก
เมื่อภารกิจของพวกเขาจบลง โลกก็ได้เรียนรู้ที่จะ "บันทึกความจริง" แต่อีกด้านหนึ่งของปารีส ยังมีชายคนหนึ่งที่มองเห็นมากกว่านั้น... เขาไม่ได้ต้องการบันทึกโลกที่เขาเห็น แต่เขาต้องการสร้าง "โลกที่ไม่เคยมีอยู่จริง" ขึ้นมาบนแผ่นฟิล์ม ชายคนนั้นชื่อ ฌอร์ฌ เมเลียส (Georges Méliès) ใช่ครับ
ในตอนต่อไป : เตรียมพบกับเรื่องราวของชายผู้ใช้มายากลสะกดโลก และการค้นพบ "ความลับของการตัดต่อ" โดยบังเอิญที่เปลี่ยนประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ไปตลอดกาล... ฌอร์ฌ เมเลียส: พ่อมดแห่งจอเงิน!
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
- Institut Lumière, Lyon, France (สถาบันลูมิแอร์ เมืองลียง) https://www.institut-lumiere.org/le-cinematographe-lumiere
- หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) - Thai Film Archive
- Encyclopedia Britannica: History of Motion Pictures
- UNESCO: Memory of the World Register (Lumière Films)







.jpg)
