Executive Order 6102 วันที่ประชาชนอเมริกันถูกห้าม “ถือครองทองคำ” และบทเรียนประวัติศาสตร์การเงินของโลก ...
วันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1933 คือ วันที่ทองคำกลายเป็นเรื่อง “ผิดกฎหมาย” ลองจินตนาการว่าคุณตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง เปิดวิทยุ แล้วได้ยินประกาศของรัฐบาลว่า “ทองคำที่คุณมีอยู่ในบ้าน…ต้องนำไปส่งมอบให้รัฐภายใน 25 วัน ไม่อย่างนั้นจะมีโทษจำคุกและค่าปรับ” !!!
มันไม่ใช่ฉากในหนังดิสโทเปีย แต่มันคือ เหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1933 และผู้ออกคำสั่งนั้น ก็คือ ประธานาธิบดีแฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ (FDR)
คำสั่งที่ว่า คือ Executive Order 6102 หรือ EO-6102 คืออะไร ?
นี่ไม่ใช่เรื่องของตัวเลข หรือศัพท์เทคนิค ที่มีความหมายของนักการเงิน แต่อย่างใดครับ แต่คือเรื่องของประเทศที่กำลังจมน้ำ หรือดิ่งเหว ความหวาดกลัวของประชาชน และการตัดสินใจครั้งใหญ่ ที่เปลี่ยนเส้นทางระบบการเงินโลกไปตลอดกาล ....ภาพใหญ่อเมริกาในปี ค.ศ. 1933
— ประเทศที่กำลังป่วยหนัก กว่าที่ใครจะคาดคิด
ปี ค.ศ. 1933 คือจุดต่ำสุดของ Great Depression โรงงานปิดตัว ธนาคารล้มระเนนระนาด สถาบันการเงินล้มเป็นแถว ผู้คนแห่กันไปถอนเงินแบบตื่นตระหนก เงินฝากหายไปเฉยๆ และผู้คนหลายล้านคน กลายเป็นคนตกงาน มืดมน ความหวังแทบจะริบหรี่
ปี ค.ศ. 1933 คือจุดต่ำสุดของ Great Depression โรงงานปิดตัว ธนาคารล้มระเนนระนาด สถาบันการเงินล้มเป็นแถว ผู้คนแห่กันไปถอนเงินแบบตื่นตระหนก เงินฝากหายไปเฉยๆ และผู้คนหลายล้านคน กลายเป็นคนตกงาน มืดมน ความหวังแทบจะริบหรี่
และแล้วในปี ค.ศ. 1933 ชายคนหนึ่งที่ชื่อ แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ ก็ก้าวเข้ามาเป็นประธานาธิบดี พร้อมกับแผนการ ที่ดูเหมือนจะบ้าบิ่นที่สุดแผนหนึ่งในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา หรือจะประวัติศาสตร์โลก ก็คือ “การยึดทองคำจากประชาชน” !!!!
ในเวลานั้น ทองคำ คือ เงิน ....
รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องถือทองคำไว้ในคลัง ตามกฎหมาย เพื่อรองรับจำนวนเงินดอลลาร์ ที่พิมพ์ออกมา
กล่าวคือ .... ในยุคนั้น เงินดอลลาร์สหรัฐฯ มีกฎเหล็กคอยกำกับอยู่ คือ มาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ซึ่งหมายความว่า ทุกธนบัตรดอลลาร์ที่หมุนเวียนในระบบ ต้องมีทองคำสำรองของรัฐบาลค้ำประกันอยู่ .... พูดง่ายๆ คือ ถ้าคุณมีแบงก์ดอลลาร์ คุณสามารถเอาไปแลกเป็นทองคำได้ตามราคาที่กำหนด...
แต่เมื่อเกิดวิกฤต คนรวยและคนที่มีเงิน ต่างทำสิ่งเดียวกันอย่างพร้อมเพรียง เพราะพวกเขารู้สึกว่าปลอดภัยที่สุด คือ "ถอนเงินออกมา แล้วเปลี่ยนเป็นทองคำ” จากนั้นก็นำไปซ่อนไว้ในเซฟใต้ดิน หรือในธนาคาร ทำให้ทองคำซึ่งเป็นเหมือน "น้ำมันหล่อลื่น" ของระบบเศรษฐกิจ ถูกดูดออกจากระบบไปจนหมด....
เมื่อคนแห่กันเอาดอลลาร์ไปขอแลกทอง “ตามสิทธิ์ของตน” ทองคำในคลัง ก็เริ่มไหลออกเร็วมาก รัฐบาลก็กดดอลลาร์เพิ่มไม่ได้อีก ....
เวลาต่อมา ประเทศก็เริ่ม “หายใจไม่ออก”
นี่คือเหตุผลที่ว่า ... ทำไมรัฐบาลต้องการทองคำกลับคืน ... แต่พวกเขาจะอธิบายประชาชนอย่างไรว่า “ต้องการทองทั้งหมดในประเทศเพื่อแก้วิกฤต” โดยที่ประชาชนเองก็ประสบปัญหาปากท้อง ? ....
เมื่อหายใจไม่ออก ทางรอดทางเดียวคือ การ CPR ... ด้วยคำสั่ง Executive Order 6102... คำสั่งที่เปลี่ยนทองคำเป็นทรัพย์ต้องห้ามของประชาชน ... ??!!!
ท่ามกลางความโกลาหลนี้ ก็มีชายคนหนึ่ง ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี นั่นคือ แฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ (FDR) รูสเวลต์มองเห็นว่า ตราบใดที่เงินดอลลาร์ยังผูกติดอยู่กับทองคำ ... รัฐบาลก็เหมือนถูกมัดมือชก ไม่สามารถใช้จ่ายเงินได้อย่างอิสระ เพื่อสร้างงานและกู้ประเทศได้... รูสเวลต์ จึงตัดสินใจ ลงนามคำสั่ง Executive Order 6102 ...
📆 วันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 1933
.... วันเริ่มต้นของ ปฎิบัติการ “ล่าทองคำ” ก็เริ่มต้นขึ้น "พลเมืองอเมริกันทุกคน ต้องนำเหรียญทองคำ, ทองคำแท่ง, และใบรับรองทองคำ (ยกเว้นเครื่องประดับหรือของสะสมเล็กน้อย) ทั้งหมดมาแลกเปลี่ยนกับรัฐบาล!"
.... มันคือการประกาศให้ ทองคำจำนวนมากที่ประชาชนครอบครองอยู่ กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ในชั่วข้ามคืน! หากใครฝ่าฝืน และถูกจับได้ อาจต้องโทษปรับสูงถึง $10,000 หรือจำคุกถึง 10 ปี (ซึ่งเป็นเงินและโทษที่มหาศาลมากในสมัยนั้น) และมีกำหนดเส้นตายที่ชัดเจน คือ ภายในวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1933 โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชยให้ในราคา $20.67 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ซึ่งเป็นราคาตลาดในขณะนั้น ...
โดยมีรายละเอียดเพิ่มเติมอีกว่า ห้ามให้ประชาชนอเมริกัน ครอบครองทองคำมากกว่า 100 ดอลลาร์ ( หรือประมาณ 5 เหรียญทองในยุคนั้น) และทุกเหรียญทอง แท่งทอง ใบรับฝากทอง ที่เกินจากนี้ จะต้องถูกนำมามอบให้ธนาคาร เพื่อส่งต่อให้รัฐบาลภายในวันที่กำหนด .... โดยต้องแลกกลับเป็นเงินดอลลาร์ ในอัตรา 20.67 ดอลลาร์ต่อ 1 ออนซ์ (ราคาคงที่ที่ใช้อยู่ในเวลานั้น)
ความอัปยศนี้ จะเรียกได้ว่า ทางเลือกที่ไร้ทางเลือก ที่เจ็บปวดที่สุด.....
ลองนึกถึงความรู้สึกของชาวอเมริกันในเวลานั้นสิครับ! ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ทองคำ คือสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง และความมั่นคง เป็นทรัพย์สินที่สืบทอดกันมาแต่เก่าก่อน ที่ยาวนาน .... แต่จู่ๆ ก็มีคำสั่ง จากผู้อำนาจเหนือกว่าอย่างไม่จำกัด สั่งบังคับให้เอาทองคำไปแลกเป็น "เงินกระดาษ" ที่พวกเขากำลังไม่ไว้ใจอย่างที่สุด ในเวลานั้น ....
มันคือการตัดสินใจที่หนักอึ้ง แต่ทางเลือกนั้นแทบไม่มี หรือจะเรียกว่า ความ“จำยอม” ที่เจ็บปวด .... เพราะคำสั่ง EO-6102 มี บทลงโทษที่รุนแรง รออยู่ สำหรับผู้ฝ่าฝืน คือ การถูกปรับเป็นเงินถึง $10,000 ดอลลาร์ (ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลในยุคนั้น) หรือจำคุกนานถึง 10 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ!
ภายใต้แรงกดดันของกฎหมาย และความกลัว ประชาชนจำนวนมาก จึง "จำยอม" ต้องนำทองคำของตน ไปมอบให้รัฐบาล ซึ่งทำให้ทองคำกองมหึมาถูกรวบรวมเข้าสู่คลังของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในที่สุด ....
แล้วความเจ็บปวด ดาบสอง ที่ลงมาฟาดคนอเมริกัน ... ซ้ำอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อรัฐบาล ดำเนินการ “ปฎิบัติการล่าทองคำ” สามารถรวบรวมทองคำส่วนใหญ่จากมือประชาชนคนอเมริกันได้แล้ว รูสเวลต์ ก็ดำเนินการขั้นต่อไป นั่นคือ การตัดการเชื่อมโยงระหว่างดอลลาร์กับทองคำ (สำหรับคนในประเทศ)
ในเวลาต่อมา รูสเวลต์ ก็ได้ประกาศใช้ พระราชบัญญัติสำรองทองคำ (Gold Reserve Act) ในปี ค.ศ. 1934 ซึ่งคำสั่งนี้ เป็นสิ่งที่เหมือนการ "ช็อคโลก" อีกครั้งหนึ่ง นั่นก็คือ ...
“รัฐบาลได้ประกาศขึ้นราคาทองคำจากเดิม $20.67 ดอลลาร์ เป็น $35 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์!”
นี่แหละครับ คือหัวใจ และแก่นของเรื่องทั้งหมด ของ ปฎิบัติการล่าทองคำ
EO-6102 ปฎิบัติปล้นเพื่อเปลี่ยน Executive Order 6102
✅ ประชาชน (จำใจ) ขายทองให้รัฐบาลในราคาเก่า คือ $20.67 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
✅ รัฐบาลก็ขึ้นราคาทองคำที่ตัวเองถือครองเป็นราคาใหม่ คือ $35 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
ผลลัพธ์คือ ทองคำสำรองในมือรัฐบาล มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ในชั่วข้ามคืน! เงินก้อนมหาศาลนี้ถูกนำมาเป็นทุนในการดำเนินโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เรียกว่า "New Deal" เพื่อสร้างงานสาธารณะ และนำพาประเทศออกจากภาวะตกต่ำ ...
สรุปง่าย ๆ คือ : รูสเวลต์สั่ง “ยึด” (แกมซื้อ) ทองคำจากคนอเมริกันในราคาถูก เพื่อให้รัฐบาลสามารถมีทองคำสำรองมากขึ้น จากนั้น ก็พิมพ์เงิน(กระดาษ) เพิ่มเพื่อกระตุ้นให้ราคาสูงขึ้น และทำให้ประเทศพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้นั่นเองครับ ....
✅ รัฐบาลก็ขึ้นราคาทองคำที่ตัวเองถือครองเป็นราคาใหม่ คือ $35 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์
ผลลัพธ์คือ ทองคำสำรองในมือรัฐบาล มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ในชั่วข้ามคืน! เงินก้อนมหาศาลนี้ถูกนำมาเป็นทุนในการดำเนินโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่เรียกว่า "New Deal" เพื่อสร้างงานสาธารณะ และนำพาประเทศออกจากภาวะตกต่ำ ...
สรุปง่าย ๆ คือ : รูสเวลต์สั่ง “ยึด” (แกมซื้อ) ทองคำจากคนอเมริกันในราคาถูก เพื่อให้รัฐบาลสามารถมีทองคำสำรองมากขึ้น จากนั้น ก็พิมพ์เงิน(กระดาษ) เพิ่มเพื่อกระตุ้นให้ราคาสูงขึ้น และทำให้ประเทศพ้นจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้นั่นเองครับ ....
คำสั่ง EO-6102 จึงเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่ช่วยให้รูสเวลต์สามารถดำเนินนโยบาย "New Deal" เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจได้สำเร็จ และอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม มันยังคงเป็นที่ถกเถียงกันมาจนถึงปัจจุบัน เกี่ยวกับอำนาจอันกว้างขวางของรัฐบาล ในการเข้าควบคุมทรัพย์สินส่วนตัวของประชาชน ...
หลังจากเวลาผ่านกว่า 40 ปี การถือครองทองคำโดยประชาชน จึงถูกทำให้ถูกกฎหมายอีกครั้งในปี ค.ศ. 1974 โดยประธานาธิบดี เจอรัลด์ ฟอร์ด ได้ลงนามในกฎหมาย ที่อนุญาตให้ชาวอเมริกัน สามารถครอบครองทองคำได้อย่างเสรี อีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการยุติเรื่องราว "ทองคำต้องห้าม" ที่ยาวนานกว่า 40 ปี .....
เรื่องราวของคำสั่ง EO-6102 ได้ทิ้งบทเรียนสำคัญไว้ว่า ในช่วงการเกิดวิกฤตใหญ่ ... บางครั้ง รัฐบาลก็ต้องใช้อำนาจเด็ดขาดเพื่อ "รีเซ็ต" ระบบเศรษฐกิจทั้งหมด และทองคำ ก็เป็นเพียงเครื่องมือสำคัญที่ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์นั้น!
'คำสั่ง EO-6102 จะเกิดขึ้นอีกครั้ง ฉบับศตวรรษที่ 21' หรือไม่
เป็นคำถามที่น่าคิดนะครับ ว่า ปฎิบัติการ คำสั่ง Executive Order 6102 ล่าทองคำในอดีต จะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน ที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งใน วิกฤติของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ .....
แม้ว่าในปัจจุบัน สหรัฐฯ จะไม่ได้ผูกค่าเงินดอลลาร์กับทองคำอีกต่อไป ทำให้การยึดทองคำ แบบปี ค.ศ. 1933 ดูเหมือนจะเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว ... แต่แก่นแท้ของคำสั่ง EO-6102 ยังคงเป็นบทเรียนอันทรงพลัง ถึงอำนาจของรัฐบาลในภาวะวิกฤต ในยุคที่ธนาคารกลางต่างๆ กำลังเผชิญกับหนี้สินที่พุ่งสูง และต้องดิ้นรนควบคุมปริมาณเงินอย่างเต็มที่นั้น ".... สินทรัพย์ดิจิทัล (Cryptocurrencies) อย่าง Bitcoin" ได้เข้ามาแทนที่ทองคำในฐานะ 'ทรัพย์สินทางเลือก' ที่อยู่นอกระบบการควบคุมของรัฐ ... ?!
หากวิกฤตความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์ ถึงจุดสูงสุด และประชาชนแห่กันโยกย้ายเงินทุนเข้าสู่สินทรัพย์ดิจิทัลขนาดใหญ่ในวงกว้าง นักวิเคราะห์หลายคน จึงตั้งคำถามว่า รัฐบาลสหรัฐที่มีอำนาจที่ทรงพลังเหลือล้นนี้ .... อาจจำเป็นต้องออก 'คำสั่ง 6102 ฉบับศตวรรษที่ 21' ที่มุ่งเป้าไปที่การ ควบคุมหรือจำกัดการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัล โดยประชาชน หรือไม่ ? เพื่อรักษาสภาพคล่องและอำนาจทางการเงินของตนไว้ ซึ่งจะเป็นการนำอำนาจพิเศษ ในการเข้าควบคุม "ทรัพย์สินส่วนตัว" กลับมาใช้อีกครั้ง ในรูปแบบที่ทันสมัยกว่าเดิม" ....
ไม่แน่นะครับ ....อาจจะเกิดขึ้นก็ได้
อ่านมาเสียยืดยาว ... แอดมินเชื่อว่า น่าจะมีบ้างล่ะ กับคำถามนี้ ......
ความหมายของตัวเลขคำสั่ง 6102 มีความเป็นมา หรือมีความหมายอย่างไร ?
คำตอบสั้นๆ และชัดที่สุด คือ ไม่มีเลยครับ .... Executive Order (E.O.) คือคำสั่งที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่ออกโดย ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อสั่งการให้หน่วยงานของรัฐบาลกลาง ดำเนินการตามนโยบายหรือกฎหมายที่กำหนด ... คือ
- ลำดับตัวเลข : คำสั่งเหล่านี้ จะถูกกำหนดหมายเลข เรียงตามลำดับเวลาที่ออก ซึ่งนับต่อเนื่องมาตั้งแต่คำสั่งแรก ๆ ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
- คำสั่ง 6102 หมายถึง คำสั่งฉบับที่ 6,102 ที่ถูกออกโดยประธานาธิบดี ทุกๆคน ที่เคยดำรงตำแหน่งในสหรัฐฯ จนถึงวันที่รูสเวลต์ลงนามในคำสั่งนี้ (5 เมษายน ค.ศ. 1933)
กล่าวได้ว่า ถ้าคำสั่งฉบับก่อนหน้าคือ 6101 คำสั่งนี้ก็ต้องเป็น 6102 เป็นไปตามระบบการบันทึกเอกสารของรัฐบาลสหรัฐฯ เท่านั้นครับ ไม่มีความหมายอะไรเลย ....
📚 แหล่งข้อมูลอ้างอิงที่เชื่อถือได้ และเพื่ออ้างอิง และสำหรับการค้นคว้าเพิ่มเติม
- Federal Reserve History. The Great Depression and Monetary Policy. [Online resource documenting the policy shift during the 1930s crisis.]
- The American Presidency Project. Franklin D. Roosevelt: Executive Order 6102 - Requiring Gold to Be Delivered to the Federal Reserve. [Archived text of the original Executive Order.]
- Mises Institute. The Gold Confiscation of 1933. [Academic perspective on the economic and legal implications of the order.]
- National Archives – Gold Reserve Act Documents https://www.archives.gov
- The American Presidency Project – Text of EO 6102 https://www.presidency.ucsb.edu
- Federal Reserve History – Gold Reserve Act of 1934 https://www.federalreservehistory.org
- Investopedia – History of Gold Confiscation https://www.investopedia.com
หนังสือดีๆ ที่เราอยากจะแนะนำ
Big Debt Crises (วิกฤตหนี้ครั้งใหญ่)
ผู้เขียน: Ray Dalio
สำนักพิมพ์: เอฟพี เอดิชั่น (FP Edition)
หนังสือเล่มนี้เป็นบทวิเคราะห์วัฏจักรหนี้และวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างละเอียด โดยมีการยก "วิกฤตหนี้ของสหรัฐฯ ปี 1928-1937" ซึ่งเป็นช่วงเวลาของ The Great Depression มาเป็นกรณีศึกษาหลักส่วนหนึ่งของหนังสือ เพื่ออธิบายถึงกลไกของภาวะหนี้หดตัวพร้อมเงินฝืด (Deflationary Debt Crises)
ผู้เขียน: Ray Dalio
สำนักพิมพ์: เอฟพี เอดิชั่น (FP Edition)
หนังสือเล่มนี้เป็นบทวิเคราะห์วัฏจักรหนี้และวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างละเอียด โดยมีการยก "วิกฤตหนี้ของสหรัฐฯ ปี 1928-1937" ซึ่งเป็นช่วงเวลาของ The Great Depression มาเป็นกรณีศึกษาหลักส่วนหนึ่งของหนังสือ เพื่ออธิบายถึงกลไกของภาวะหนี้หดตัวพร้อมเงินฝืด (Deflationary Debt Crises)
ผู้เขียน: James West Davidson (เจมส์ เวสต์ เดวิดสัน)
สำนักพิมพ์ : Bookscape
ผู้เขียนนำเสนอประวัติศาสตร์อย่าง สมดุลและรอบด้าน โดยไม่ละเลยด้านมืดของชาติ (เช่น การเป็นทาส, การกดขี่ชนพื้นเมือง) แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศที่จะพัฒนาไปสู่สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "สหภาพที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น" (A More Perfect Union) ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการสร้างชาติ
สำนักพิมพ์ : Bookscape
ผู้เขียนนำเสนอประวัติศาสตร์อย่าง สมดุลและรอบด้าน โดยไม่ละเลยด้านมืดของชาติ (เช่น การเป็นทาส, การกดขี่ชนพื้นเมือง) แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศที่จะพัฒนาไปสู่สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "สหภาพที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น" (A More Perfect Union) ซึ่งเป็นแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังการสร้างชาติ







.jpg)
