นโยบายแรง ....
…แต่โลกยุคติดจอ อาจต้องการมาตรการแรงแบบนี้จริงหรือเปล่า? ตั้งแต่ มกราคม 2026 (พ.ศ. 2569) เป็นต้นไป โรงเรียนมัธยมในประเทศสิงคโปร์ จะเข้าสู่ยุคใหม่แบบจริงจัง
นักเรียนยังพกมือถือมาโรงเรียนได้ แต่ “ใช้ไม่ได้ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียน” ไม่ว่าจะพักกลางวัน ทำกิจกรรมเสริม หรือช่วงรอคาบต่อไป ....
นี่ไม่ใช่ข่าวลือ แต่เป็นประกาศจาก Ministry of Education (MOE) Singapore โดยตรง ....
ทำไมประเทศสิงคโปร์ถึงจริงจังขนาดนี้ ?
สิงคโปร์มองว่า การอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ของเด็กวัยเรียน “หลุดสมดุล” ไปไกลมากแล้ว .... นักเรียนจำนวนมาก ใช้เวลาช่วงพัก “ก้มหน้าเงียบ” แทนที่จะพูดคุยกัน ออกกำลังกาย หรือพักสายตา และแม้จะมีข้อห้ามใช้มือถือในคาบเรียนอยู่แล้ว แต่ผลลัพธ์ก็ยังไม่ดีพอ ....
ก่อนหน้านี้ นักเรียนสิงคโปร์ยังสามารถใช้โทรศัพท์มือถือได้ แต่ในช่วงเวลาพักเท่านั้น แต่กฎใหม่นี้ คือการยกระดับความเข้มข้น โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก
- 💪 สุขภาพจิตที่ดี : ลดการจ้องหน้าจอที่ไม่จำเป็น เพื่อสุขภาพสายตา และลดความเสี่ยงจากการเสพติดโซเชียลมีเดีย
- 🧠 ห้องเรียนที่ไร้สิ่งรบกวน : เมื่อไม่มีเสียงแจ้งเตือน (Notification) การเรียนรู้ก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งครูและนักเรียนมีสมาธิเต็มที่
- 🫂 เสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ทางสังคม : บังคับให้เด็กๆ ต้องเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเพื่อน พูดคุย เล่นเกม และสร้างมิตรภาพแบบ "ออฟไลน์" แทนที่จะก้มหน้าไถฟีด
ดังนั้น MOE จึงขยับนโยบายขั้นต่อไป คือ ไม่ให้ใช้เลยทั้งวัน !!!
กฎใหม่คือ ไม่อนุญาตให้ใช้ แต่อนุญาตให้นำมาโรงเรียนได้ ...และ อุปกรณ์จะถูกเก็บไว้ในกระเป๋า หรือในล็อกเกอร์ และโรงเรียนจะมีข้อยกเว้นเฉพาะกรณีจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่การห้ามนำมาโรงเรียน แต่เป็นการจัดระเบียบให้เด็กได้ “พักจอ” อย่างแท้จริง ...
อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรครับ ... ในฐานะคนไทย ?
นี่อาจเป็นนโยบายที่หลายคนในไทยเพียงได้ยิน ก็อาจคิดว่า “โห…ทำได้จริงเหรอ?” แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็น่าสงสัยเหมือนกันนะครับว่า เราเองกำลังปล่อยให้เด็กไทยติดจอมากเกินไปหรือเปล่า ?
ลองนึกภาพง่ายๆ ช่วงพักกลางวันในโรงเรียน— เด็กไทยจำนวนไม่น้อยนั่งเล่นมือถือเงียบๆ ก้มหน้าก้มตา ตัวใครตัวมัน .... ไม่มีปฎิสัมพันธกับเพื่อนในชั้นเรียน
ห้องเรียนบางแห่ง ต้องเริ่มคาบช้า เพราะเด็กมัวแต่จมอยู่ในเกมหรือแชต ที่หน้าจอ....
หรือเวลามีปัญหากับเพื่อน เด็กอาจเลือก “หนีไปอยู่ในมือถือ” มากกว่าการสื่อสารกันตรง ๆ ....
ในแง่สุขภาพ .... การใช้จอนานๆ กระทบทั้งสายตา การนอน พัฒนาการทางสมอง ไปจนถึงอารมณ์....
ในแง่สังคม .... เด็กที่ไม่เคยมีเวลาว่างจากมือถือ อาจโตขึ้นมาโดยขาดทักษะบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
คำถามคือ… ประเทศไทยพร้อมไหม กับมาตรการคล้ายๆ กัน หรือทำนองนี้ ?
สิงคโปร์ไม่ได้มองมือถือเป็นผู้ร้าย
แต่พยายาม จะ “ออกแบบสภาพแวดล้อม” ให้เด็กได้โตมาอย่างสมดุล โลกดิจิทัลนั้นก็สำคัญ แต่เวลาที่ปราศจากหน้าจอ ก็สำคัญไม่แพ้กัน และแน่นอนว่า การจะนำแนวทางนี้มาใช้ในไทย ต้องคิดละเอียดและรอบคอบ เพราะบริบทไทยไม่เหมือนสิงคโปร์ ( มั้ย?)
- บางบ้านต้องใช้มือถือเพื่อติดต่อรับ-ส่งเด็ก
- โรงเรียนบางแห่งใช้มือถือเป็นเครื่องมือการเรียน
- ผู้ปกครองบางคนต้องการให้ลูกพกอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย
แต่คำถามใหญ่ที่สิงคโปร์โยนมาสู่โลกก็คือ :
เราจะยอมให้โทรศัพท์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเด็ก…แบบไร้การควบคุมจริงหรือ?
ไทยควรลองคิดแบบสิงคโปร์ไหม?
อาจไม่ต้องลอกมา 100% ก็ได้ ... แต่อาจลองเริ่มจาก...
- จำกัดการใช้ในบางช่วงเวลา
- ใช้ “กล่องเก็บมือถือ” ในคาบเรียน
- ให้เด็กมี “ช่วงพักปลอดมือถือ” ในแต่ละวัน
- ให้โรงเรียนทดลองมาตรการนำร่อง และดูผลประกอบก่อน
คำถามนี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่า…
เราจะปรับสิ่งแวดล้อมให้เด็กไทยเติบโตได้ดีขึ้นอย่างไร
และมือถือควรมีบทบาทแค่ไหนในชีวิตวัยเรียน?
บางทีนโยบายของสิงคโปร์ อาจไม่ใช่สิ่งที่เราต้องเลียนแบบ .... แต่อาจจะเป็น “สัญญาณเตือน” ที่กระตุก “ต่อม” อะไรสักอย่าง ที่ทำให้ไทยเริ่มคุยกัน เริ่มตระหนัก กับเรื่องสำคัญนี้ อย่างจริงจังเสียที ... ...
(ข่าวต้นฉบับ ภาษาอังกฤษ จากสื่อหลักและประกาศ MOE)
Ministry of Education Singapore – Press Release
https://www.moe.gov.sg/news/press-releases/20251130-moe-to-introduce-enhanced-measures-to-promote-healthier-screen-use-in-students
Channel News Asia (CNA)
https://www.channelnewsasia.com/singapore/secondary-school-can-use-phone-in-class-smartphone-screen-time-students-5495621
Tweet




.jpg)
