และเป้าหมายแรกๆ ที่ลัทธิร่านโจมตีอย่างรุนแรง ก็คือ หนังสือที่รวบรวมการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ และวิธีการทางสถิติของนักจิตวิทยา Richard J. Hernstein ที่สอน และวิจัยอยู่ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยเขียนร่วมกับนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ Charles Murray โดยที่หนังสือ ที่โด่งดังอย่างมาก ที่ตีพิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1994 เล่มนี้ เสนอว่า
".... ความเฉลียวฉลาดเป็นผลของการทำงานร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม..."
หนังสือเล่มนี้ ชื่อว่า The Bell Curve: Intelligence and Class Structure in American Life ซึ่งบังเอิญเป็นหนังสือเกี่ยวกับความเฉลียวฉลาดเล่มแรก ที่ผมได้อ่านเมื่อนานมาแล้ว และกลับมาอ่านอีกหนหนึ่ง เพื่อที่จะเอาเรื่องนี้มาเล่าอย่างจริงจัง .....
ผมเอาเนื้อหา และสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ มาสรุปแบบกระทัดรัด และสอดแทรกเอาไว้แล้วในหลายๆ ตอนก่อนหน้านี้ แต่หากใครสนใจ และสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้ดี จะไปหาอ่านเอง ก็อยากแนะนำอย่างที่สุดครับ เพราะว่าดีมากๆ มีรายละเอียดมีข้อมูลการศึกษา และข้อมูลทางสถิติที่ทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างความเฉลียวฉลาด กับ ชีวิตของมนุษย์เราในแง่มุมต่างๆ เช่น การศึกษา ผลการเรียน อาชีพการงาน ความยากจน การว่างงาน การบาดเจ็บ และเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ครอบครัว การทำผิดกฏหมาย ฯลฯ อย่างชัดเจน ซึ่งผู้เขียนสามารถแสดงให้คนอ่านเข้าใจได้โดยไม่ต้องสงสัยอะไรว่า ความเฉลียวฉลาดที่ต่างกันส่งผลต่อเรื่องต่างๆที่กล่าวมาอย่างไรบ้าง
.... แล้วก็มีบทเล็กๆ สองบท ในหนังสือ ชื่อบท "... ความแตกต่างของเชื้อชาติในความเลียวฉลาด" Ethnic Differences in Cognitive Ability (13) และ ความไม่เท่าเทียม ของระดับไอคิวในเชื้อชาติต่างๆกัน Ethnic Inequalities in Relation to IQ (14) ที่เปิดโอกาสให้ลัทธิร่านโจมตีอย่างรุนแรงตั้งแต่ปีที่หนังสือออกขายจนมาถึงทุกวันนี้
แต่ไม่สำเร็จ
ที่ไม่สำเร็จ เพราะว่า สองบทเล็กๆ ที่ลัทธิร่าน นำมาใช้ทำลายความเชื่อถือนั้น รวบรวมข้อมูลของประชากรเชื้อชาติต่างๆ ในสหรัฐ ตั้งแต่อดีตจนถึงเกือบๆ ปี ค.ศ. 1994 ด้าน ผลการวัดไอคิว ผลการเรียน อาชีพการงาน สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ การทำผิดกฏหมาย และถูกพิพากษา ฯลฯ จากการศึกษาก่อนหน้านี้ ที่ได้รับการยอมรับว่า ถูกต้อง มาวิเคราะห์ทางสถิติ และคณิตศาสตร์ด้วยวิธีการเดียวกันในทุกกลุ่มเชื้อชาติจนได้ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างเชื้อชาติ และระดับความเฉลียวฉลาด และเรื่องราว และปัญหาต่างๆ ที่กล่าวมา ไม่มีตรงไหน ที่ผู้เขียนหนังสือทั้งสองคน ทำการทดลอง การประเมินผลขึ้นมาเอง โดยหนังสือเล่มนี้ ได้รายงานว่า "คนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน มีค่าไอคิวน้อยกว่าถึง 14 หรือประมาณ Standard Deviation ( เป็นการวัดที่ได้รับการยอมรับจากการศึกษาของนักวิทนาศาสตร์คนอื่นก่อนหน้านี้ที่ผู้เขียนหนังสือนำมาใช้)
ตัวแทนของลัทธิร่าน ที่เป็นหัวหอกในการโจมตี ทำลายความน่าเชื่อถือของหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่นักจิตวิทยา หรือนักวิทยาศาสตร์ที่มีผลงานวิจัยในเรื่องนี้แต่อย่างใด !!!??? แต่ เป็นนักปรัชญาใหญ่ระดับ ศจ. ชื่อว่า Ned Joel Block ที่เรียนจบปริญญาเอกจากฮาวาร์ด แล้วตะเวนสอนวิชาปรัชญาสังคม ในมหาวิยาลัย ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง โดยที่สุดท้าย คือ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค (NYU)
Ned Block พยายามเถียงว่า นอกจากข้อมูลในหนังสือจะเต็มไปด้วยอคติ มาจากแหล่งที่ไม่มีความน่าเชื่อถือแล้ว พันธุกรรมไม่เกี่ยวอะไรกับความเฉลียวฉลาดแต่อย่างใด ด้วยการยกตัวอย่างว่า มนุษย์มียีนที่กำหนดให้มีนิ้วมือจำนวนห้านิ้ว แต่การที่มนุษย์จะมีนิ้วมือกี่นิ้ว จะเป็นผลจากสิ่งแวดล้อมมากกว่า อย่างเช่น มีอุบัติเหตุจนนิ้วบางนิ้วหายไปไม่ครบห้านิ้ว โดยที่ผู้เขียนหนังสือ ไม่ได้ไปชี้แจง หรือโต้เถียงอะไร คงเป็นเพราะรู้ว่าไม่ต้องไปเถียงอะไร ปล่อยให้พูดเยอะๆ ก็ยิ่งดูตลก หรือไม่ก็มัวแต่นั่งหัวเราะกันอยู่จนพูดไม่ออก
แต่ลัทธิร่าน มีอิทธิพลอย่างมากในวงการศึกษาของสหรัฐฯ โดยเฉพาะในสายสังคม Ned Block และคณะ สามารถบิดเบือน และป้ายสีว่า เนื้อหาของหนังสือ The Bell Curve น่าตระหนกตกใจมาก ที่ทำนายว่า สังคมอเมริกันจะพัฒนาเป็นสังคมชนชั้น ต่อไป โดยเชื้อชาติจะเป็นปัจจัย ที่กำหนดชนชั้นต่อไป ทั้งที่ผู้เขียนหนังสือได้ชี้แจงว่า ไม่มีข้อความใดๆ ในหนังสือที่สามารถถูกตีความได้เช่นนั้นเลย แม้แต่ประโยคเดียว ยกเว้นชื่อหนังสือที่มีคำว่า Class Structure หรือโครงสร้างของชนชั้น คำเดียว ....
นอกจาก Ned Block แล้ว ยังมีนักวิชาการสายสังคมในสหรัฐฯ ที่ต่อต้าน คัดค้าน บ่อนทำลาย หนังสือ The Bell Curve อีกมากมาย อย่างเช่น Claude Fisher อาจารย์สอนสังคมวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ และคณะที่ร่วมกันเขียนหนังสือชื่อ Inequality by Design: Cracking The Bell Curve Myth (ความเหลื่อมลํ้าที่ถูกกำหนด : ไขปริศนา The Bell Curve) ที่พยายามยกเหตุผลทางสังคมวิทยามาอธิบายว่าทำไมหนังสือ The Bell Curve ที่ใช้ข้อมูลและการศึกษาด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ถึงผิดหมด
ถึงตรงนี้ เราสามารถสรุปได้ว่า ....
1. มนุษย์ แต่ละคน มีความเฉลียวฉลาด ต่างกันออกไป
2. ความเฉลียวฉลาดของมนุษย์เป็นผลจากพันธุกรรม ทำงานร่วมกับสิ่งแวดล้อม
3. แม้ว่าเราเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมไม่ได้ แต่เราสามารถ พัฒนาความเฉลียวฉลาดผ่านสิ่งแวดล้อมได้ เช่น การเรียน การฝึกฝน การอ่าน อาชีพการงาน เพื่อนฝูงและสังคม ฯลฯ
4. แต่มีคนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า มนุษย์เรามีความเฉลียวฉลาดเท่ากัน เพราะเขามีอุดมการณ์ว่า มนุษย์เราจะต้องเท่าเทียมกัน ....
5. คนกลุ่มนี้ (ข้อ4) เป็นอันตรายต่อมนุษยชาติมาก !!! ไม่สนใจข้อเท็จจริง ความเป็นจริง และจะยัดเยียดให้ทุกคน ต้องยอมรับว่า สิ่งที่พวกตนเชื่อเป็นความเป็นจริงของมนุษย์
ตอนหน้า คือ ตอนสุดท้าย จะเป็นเรื่องของนักวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขพันธุกรรมให้มนุษย์เฉลียวฉลาดมากขึ้นได้ ....
บทความโดย : Sompob Pordi
ความเฉลียวฉลาด (Intelligence) รวมทุกตอน >> คลิ๊กที่นี่ ...
ผมอยากฉลาด และชอบคนฉลาด ผมเชื่อว่า ความเฉลียวฉลาดและคนฉลาดมีประโยชน์มากกว่าโทษ และคือสิ่งที่นำพาให้มนุษยชาติมาถึงวันนี้ ผมก็เลยสนใจเรื่องความเฉลียวฉลาดของมนุษย์มาก มากพอที่จะตะลุยหาความรู้ในเรื่องนี้อย่างจริงจัง
**** ใครที่สนใจ ที่มีเวลา โดยเฉพาะ คนที่ยังมีลูกหลานเล็กๆ ผมแนะนำสุดใจครับ เพราะจะเป็นประโยชน์แน่นอน
ความเฉลียวฉลาด (Intelligence) เป็นส่วนผสมทางชีววิทยา และประสบการณ์ชีวิต หากตั้งใจ หากทำเป็น สร้างเสริมได้ เพิ่มพูนได้ พัฒนาได้ .... และเมื่อเฉลียวฉลาดแล้ว โลกทัศน์จะต่างจากคนทั่วไป จะเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนกว่า จะเห็นโอกาส และจะมีทางเลือกมากกว่า และสามารถจะใช้โอกาสและทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อประโยชน์ของตนเอง ครอบครัว และสังคม ได้แน่นอนครับ !!!
**** ใครที่สนใจ ที่มีเวลา โดยเฉพาะ คนที่ยังมีลูกหลานเล็กๆ ผมแนะนำสุดใจครับ เพราะจะเป็นประโยชน์แน่นอน
ความเฉลียวฉลาด (Intelligence) เป็นส่วนผสมทางชีววิทยา และประสบการณ์ชีวิต หากตั้งใจ หากทำเป็น สร้างเสริมได้ เพิ่มพูนได้ พัฒนาได้ .... และเมื่อเฉลียวฉลาดแล้ว โลกทัศน์จะต่างจากคนทั่วไป จะเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนกว่า จะเห็นโอกาส และจะมีทางเลือกมากกว่า และสามารถจะใช้โอกาสและทางเลือกที่ดีกว่าเพื่อประโยชน์ของตนเอง ครอบครัว และสังคม ได้แน่นอนครับ !!!