บทความโดย : Wachilapat Intuputi
คำถาม คือ จะรักและเทิดทูนสถาบันไปทำไมกัน ? ท่านทำอะไรให้พวกผู้ใหญ่เหรอ ?
ต้องบอกก่อนนะครับว่า ค่านิยมของสังคม แต่ละยุคจะไม่เหมือนกันครับ
ในอดีตสอนว่า คุณธรรมที่ดีงาม คือการมีความกตัญญูต่อ พ่อแม่ ครูอาจารย์ ชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์
ส่วนปัจจุบัน ก็อย่างที่น้องๆ ยึดถือกันเลยครับ คือ ...
พ่อแม่ ก็แค่ "เอากัน" แล้วเกิดมาเป็นเรา ดังนั้นไม่มีบุญคุณต้องทดแทนต่อกัน
ครู ก็รับเงินเดือนมาสอน และน้องๆส่วนใหญ่ก็ไม่อินและไม่คิดจะทำอะไรเพื่อชาติและสถาบันอยู่แล้ว
ผมก็เข้าใจได้ครับ ....
แล้วทำไม คนรุ่นเก่าๆถึง"อิน" กับสถาบันหละ ?
ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ ได้เรียน วิชาประวัติศาสตร์ และวีรกรรมของพระมหากษัตริย์ ก็เป็นฉบับที่เขียนขึ้นมา เพื่อให้เกิดความรักชาติ นั่นแหละครับ ส่วนคนที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง ก็จะพยายามอ่านจาก จดหมายเหตุฉบับต่างๆ ครับ เพราะเป็นแค่การบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเฉยๆ ไม่มีการใส่สีสันให้กับผู้ที่อ่านแต่อย่างใดเลยครับ
เมื่ออ่านจดหมายเหตุ และลำดับเหตุการณ์ แล้วทำให้ผมทราบว่า พระมหากษัตริย์ไทยนั้นทำอะไรให้กับประเทศ และประชาชนไว้บ้างครับ เอาแบบรวบรัด ไม่เกิน7บรรทัดก็คือ
ใครทำอะไรให้เรา ใครมอบโอกาสให้เรา ใครมอบความเจริญ ความสะดวกสบายให้ เราก็จะเกิดความรัก และความกตัญญู ต่อท่านๆ เหล่านั้น ครับ อธิบายแบบนี้ไม่รู้น้องๆ จะget หรือป่าวนะครับ
มาถึงตอนที่พวก"สลิ่ม"เกิดทันดีกว่านะครับ
ท่ามกลางความแตกแยกทางความคิด ระหว่างประชาธิปไตย กับคอมมิวนิสต์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ยังทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฎรอยู่โดยตลอด
อธิบายนิดนึงว่า สมัยก่อนมันไม่ได้พัฒนาเหมือนสมัยนี้นะครับ ถนนเมนๆ ยังเป็นดินสีแดง ดินลูกรังอยู่เลยท่านก็ยังดั้งด้นไปช่วย ผมเห็นข่าวในหลวงไปช่วยชาวบ้านจากทีวีและหนังสือพิมพ์ ครับ จนพ่อแม่ผมไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด ผมถึงได้ยินจากปากญาติๆว่า เวลาท่านเสด็จมา จะพาหมออาสามาช่วยตรวจชาวบ้าน หลังจากนั้นก็เกิดโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในจังหวัดนั้นๆ ....
จนผมโตขึ้นมา ได้ไปช่วยทำรายการให้พ่อผมที่สภาสังคมสงเคราะห์ หลาย episode คือสัมภาษณ์คนที่ไปยื่น ถวายฏีกา ครับ
ที่ผมประทับใจมากๆ คือ ได้เจอ นักเรียนที่ท่านได้ช่วยอนุเคราะห์ให้ทุนฟอกไตมาหลายปี จนน้องมีชีวิตต่อได้เรียนจบมหาวิทยาลัย มีการมีงานทำครับ และได้เจอเจ๊เจ้าของโรงงานเย็บผ้าส่งออก โดนพิษค่าเงินบาทอ่อนตัว จนธุรกิจเจ๊ง เลยโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่ดันไม่ตาย นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลหลายปี ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปต่ออย่างไร ได้ดูทีวีข่าวในราชสำนัก เลยนึกถึงในหลวง เขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือ ทางสำนักพระราชวังเลยติดต่อกลับมาให้ผลิตเสื้อเหลืองให้กับหน่วยงานของพระองค์ เจ๊แกก็ใจสู้จนในที่สุดก็รันธุรกิจให้กลับมา มีรายได้เลี้ยงครอบครัวและคนงานต่อไปครับ
ในกรณีที่ใครเคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณช่วยไว้ไม่ว่าจะเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ หรือการได้รับโอกาสต่างๆ ผมว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เขาเหล่านั้นจะรักและพร้อมที่จะปกป้องสถาบัน หากใครที่คิดจะมาจาบจ้วงครับ
ส่วนวาทกรรมย้อนศร ที่ว่าพวกผู้ใหญ่โดนหลอกมาตลอด เพราะว่าสิ่งที่เห็นมันคือ "propaganda "
ผมว่าใช้สติปัญญานิดนึง ก็จะรู้ว่ามันไม่จริงครับ
ไม่มีใครแม่งทำ propaganda นานถึง 60 กว่าปีหรอกครับน้อง
ตัวอย่างง่ายๆ ของการทำpropagada นะ เช่น ในช่วงโควิด
คุณธนาธร ทำแค่ 7 วันเอง ตอนที่ออกมาโชว์ว่าจะทำ นวัตกรรมโควิดต่างๆ ออกมาช่วย แต่แล้วมันก็เงียบหายไป ตามกาลเวลาครับ คือเค้าหวังแค่โฆษณาสร้างภาพครับ ไม่ได้คิดจะทำจริงอยู่แล้ว เพราะเค้ารู้ว่าน้องๆ ฐานแฟนคลับของเค้าเป็นแบบนี้ครับ ต้องการแค่รับทราบรับรู้ ไม่มีเวลาไปตาม progress ครับ
ส่วนโครงการในพระราชดำริ ผมไปถ่ายทำรายการมา 20 กว่าแห่ง ไปเห็นของจริง สถานที่จริงมาแล้ว ถึงกล้าพูดครับ ได้รู้ว่าโครงการเหล่านั้นได้ช่วยเกษตรกร และประชาชนอย่างไรบ้าง (ลอง search หา "รายการสานต่อที่พ่อทำ" และไปดูได้เลยครับ)
สลิ่มหลายคนเติบโตมาตลอดชีวิต ได้พบกับความเมตตาของพระองค์ทั้งในทางตรง และทางอ้อม บางคนก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำครับว่าท่านได้ช่วยไว้โดยเฉพาะเรื่องวัคซีนครับ
วัคซีนวัณโรค ปี พ.ศ. 2494 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์สร้าง อาคารมหิดล วงศานุสรณ์ สำหรับเป็นอาคารผลิต BCG Vaccine เป็นวัคซีนป้องกันวัณโรคเพียงชนิดเดียวในปัจจุบัน ที่มีใช้มานานกว่า 70 ปีแล้วครับ
วัคซีนโปลิโอ ปี พ.ศ. 2498 ในหลวงทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อโครงการ สถานบำบัดโรคโปลิโอขึ้น ฉีดวัคซีนให้เด็กไทยทุกคน ท่านทำมา 42 ปี จนโรคโปลิโอหมดไปจากประเทศไทยในปี พ.ศ. 2540
วัดซีนโควิด Astrazeneca ปี 2564 ที่ถึงแม้นท่านจะจากพวกสลิ่มไปแล้ว แต่ก็ยังมีวัคซีนให้คนไทยครับ ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำให้สลิ่มหลายคนผ่านโควิดมาได้ จนถึงทุกวันนี้ ครับ
หมาที่เป็นสัตว์ เวลาเราให้ข้าวให้น้ำกิน มันยังแสดงความรักและพร้อมปกป้องเราเลยครับ
ดังนั้น
Tweet
ส่วนปัจจุบัน ก็อย่างที่น้องๆ ยึดถือกันเลยครับ คือ ...
พ่อแม่ ก็แค่ "เอากัน" แล้วเกิดมาเป็นเรา ดังนั้นไม่มีบุญคุณต้องทดแทนต่อกัน
ครู ก็รับเงินเดือนมาสอน และน้องๆส่วนใหญ่ก็ไม่อินและไม่คิดจะทำอะไรเพื่อชาติและสถาบันอยู่แล้ว
ผมก็เข้าใจได้ครับ ....
แล้วทำไม คนรุ่นเก่าๆถึง"อิน" กับสถาบันหละ ?
ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ ได้เรียน วิชาประวัติศาสตร์ และวีรกรรมของพระมหากษัตริย์ ก็เป็นฉบับที่เขียนขึ้นมา เพื่อให้เกิดความรักชาติ นั่นแหละครับ ส่วนคนที่สนใจเรื่องประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง ก็จะพยายามอ่านจาก จดหมายเหตุฉบับต่างๆ ครับ เพราะเป็นแค่การบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเฉยๆ ไม่มีการใส่สีสันให้กับผู้ที่อ่านแต่อย่างใดเลยครับ
เมื่ออ่านจดหมายเหตุ และลำดับเหตุการณ์ แล้วทำให้ผมทราบว่า พระมหากษัตริย์ไทยนั้นทำอะไรให้กับประเทศ และประชาชนไว้บ้างครับ เอาแบบรวบรัด ไม่เกิน7บรรทัดก็คือ
- รัชกาลที่ 3 ท่านหาเงินเข้าประเทศเก่ง ผูกสำเภาไปค้าขายจนมีเงินเข้าพระคลังเยอะแยะ
- รัชกาลที่ 4 หัวก้าวหน้า มีการสร้างสัมพันธ์ทางการทูตกับนานาชาติ
- รัชกาลที่ 5 เป็นนักพัฒนาประเทศ แบบที่เรียกว่า"ประเทศสยามไม่เหมือนเดิม"
พัฒนาหลายด้านเช่น คมนาคม สาธารณสุข การสื่อสาร สาธารณูปโภค และที่สำคัญท่านช่วยเลิกทาสครับ และช่วยให้สยามผ่านวิกฤตฝรั่งเศส โดยเอาเงินของรัชกาลที่3ที่เก็บไว้เป็นมรดก เอาไปช่วยไถ่ประเทศมาครับ
คือ ตอนเรียนหนังสือ ก็รู้สึกว่าท่านเป็นฮีโร่ แล้วนะ พอได้อ่านจากพวกจดหมายเหตุแล้ว มันเหมือนว่าเราได้ค่อยๆเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง รับรู้ถึงความยากลำบากกว่าจะผ่านมาได้ในสมัยนั้นเลยครับ
ค่านิยมในสมัยที่ผมเป็นวัยรุ่น คือ "บุญคุณต้องทดแทน"
ใครทำอะไรให้เรา ใครมอบโอกาสให้เรา ใครมอบความเจริญ ความสะดวกสบายให้ เราก็จะเกิดความรัก และความกตัญญู ต่อท่านๆ เหล่านั้น ครับ อธิบายแบบนี้ไม่รู้น้องๆ จะget หรือป่าวนะครับ
มาถึงตอนที่พวก"สลิ่ม"เกิดทันดีกว่านะครับ
ในรัชสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนผมเรียนประถม จำได้ว่าพี่ชายคนโตเรียนนิติ ธรรมศาสตร์ เค้าจะมีหนังสือการเมือง แอบซุกเอาไว้ในห้องเยอะ เคยแอบไปอ่าน ก็คล้ายๆ กับ เอกสารเบิกเนตร ที่น้องๆ ได้อ่านเลยครับ แล้วเช้าวันนึงพ่อผมก็รีบส่งพี่ชายคนโตให้ไปอยู่กับลุงที่ต่างจังหวัด และผมก็ไม่ต้องไปโรงเรียน เพราะมีการปะทะกันระหว่าง ตำรวจกับพวกนักศึกษา
วันรุ่งขึ้น ก็มีภาพในหนังสือพิมพ์ นักศึกษาหลายคนหนีเข้าไปหลบ ในวังสวนจิตรลดา ท่านก็เปิดวังให้เข้ามาหลบภัยครับ และก็มีนักศึกษาหลายคนหนีเข้าป่าไปเป็นคอมมิวนิสต์
ท่ามกลางความแตกแยกทางความคิด ระหว่างประชาธิปไตย กับคอมมิวนิสต์ ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ยังทรงเสด็จไปเยี่ยมราษฎรอยู่โดยตลอด
อธิบายนิดนึงว่า สมัยก่อนมันไม่ได้พัฒนาเหมือนสมัยนี้นะครับ ถนนเมนๆ ยังเป็นดินสีแดง ดินลูกรังอยู่เลยท่านก็ยังดั้งด้นไปช่วย ผมเห็นข่าวในหลวงไปช่วยชาวบ้านจากทีวีและหนังสือพิมพ์ ครับ จนพ่อแม่ผมไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด ผมถึงได้ยินจากปากญาติๆว่า เวลาท่านเสด็จมา จะพาหมออาสามาช่วยตรวจชาวบ้าน หลังจากนั้นก็เกิดโครงการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในจังหวัดนั้นๆ ....
( จะบอกว่าโครงการในพระราชดำริ 70% คือการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศครับ เด็กๆ กทม. อาจจะไม่ค่อยอิน )
จนผมโตขึ้นมา ได้ไปช่วยทำรายการให้พ่อผมที่สภาสังคมสงเคราะห์ หลาย episode คือสัมภาษณ์คนที่ไปยื่น ถวายฏีกา ครับ
ที่ผมประทับใจมากๆ คือ ได้เจอ นักเรียนที่ท่านได้ช่วยอนุเคราะห์ให้ทุนฟอกไตมาหลายปี จนน้องมีชีวิตต่อได้เรียนจบมหาวิทยาลัย มีการมีงานทำครับ และได้เจอเจ๊เจ้าของโรงงานเย็บผ้าส่งออก โดนพิษค่าเงินบาทอ่อนตัว จนธุรกิจเจ๊ง เลยโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่ดันไม่ตาย นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลหลายปี ก็ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปต่ออย่างไร ได้ดูทีวีข่าวในราชสำนัก เลยนึกถึงในหลวง เขียนจดหมายไปขอความช่วยเหลือ ทางสำนักพระราชวังเลยติดต่อกลับมาให้ผลิตเสื้อเหลืองให้กับหน่วยงานของพระองค์ เจ๊แกก็ใจสู้จนในที่สุดก็รันธุรกิจให้กลับมา มีรายได้เลี้ยงครอบครัวและคนงานต่อไปครับ
ในกรณีที่ใครเคยได้รับพระมหากรุณาธิคุณช่วยไว้ไม่ว่าจะเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ หรือการได้รับโอกาสต่างๆ ผมว่าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เขาเหล่านั้นจะรักและพร้อมที่จะปกป้องสถาบัน หากใครที่คิดจะมาจาบจ้วงครับ
ส่วนวาทกรรมย้อนศร ที่ว่าพวกผู้ใหญ่โดนหลอกมาตลอด เพราะว่าสิ่งที่เห็นมันคือ "propaganda "
ผมว่าใช้สติปัญญานิดนึง ก็จะรู้ว่ามันไม่จริงครับ
ไม่มีใครแม่งทำ propaganda นานถึง 60 กว่าปีหรอกครับน้อง
ตัวอย่างง่ายๆ ของการทำpropagada นะ เช่น ในช่วงโควิด
คุณธนาธร ทำแค่ 7 วันเอง ตอนที่ออกมาโชว์ว่าจะทำ นวัตกรรมโควิดต่างๆ ออกมาช่วย แต่แล้วมันก็เงียบหายไป ตามกาลเวลาครับ คือเค้าหวังแค่โฆษณาสร้างภาพครับ ไม่ได้คิดจะทำจริงอยู่แล้ว เพราะเค้ารู้ว่าน้องๆ ฐานแฟนคลับของเค้าเป็นแบบนี้ครับ ต้องการแค่รับทราบรับรู้ ไม่มีเวลาไปตาม progress ครับ
ส่วนโครงการในพระราชดำริ ผมไปถ่ายทำรายการมา 20 กว่าแห่ง ไปเห็นของจริง สถานที่จริงมาแล้ว ถึงกล้าพูดครับ ได้รู้ว่าโครงการเหล่านั้นได้ช่วยเกษตรกร และประชาชนอย่างไรบ้าง (ลอง search หา "รายการสานต่อที่พ่อทำ" และไปดูได้เลยครับ)
สลิ่มหลายคนเติบโตมาตลอดชีวิต ได้พบกับความเมตตาของพระองค์ทั้งในทางตรง และทางอ้อม บางคนก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำครับว่าท่านได้ช่วยไว้โดยเฉพาะเรื่องวัคซีนครับ
วัคซีนวัณโรค ปี พ.ศ. 2494 ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์สร้าง อาคารมหิดล วงศานุสรณ์ สำหรับเป็นอาคารผลิต BCG Vaccine เป็นวัคซีนป้องกันวัณโรคเพียงชนิดเดียวในปัจจุบัน ที่มีใช้มานานกว่า 70 ปีแล้วครับ
วัคซีนโปลิโอ ปี พ.ศ. 2498 ในหลวงทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ เพื่อโครงการ สถานบำบัดโรคโปลิโอขึ้น ฉีดวัคซีนให้เด็กไทยทุกคน ท่านทำมา 42 ปี จนโรคโปลิโอหมดไปจากประเทศไทยในปี พ.ศ. 2540
วัดซีนโควิด Astrazeneca ปี 2564 ที่ถึงแม้นท่านจะจากพวกสลิ่มไปแล้ว แต่ก็ยังมีวัคซีนให้คนไทยครับ ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ทำให้สลิ่มหลายคนผ่านโควิดมาได้ จนถึงทุกวันนี้ ครับ
หมาที่เป็นสัตว์ เวลาเราให้ข้าวให้น้ำกิน มันยังแสดงความรักและพร้อมปกป้องเราเลยครับ
ดังนั้น
มนุษย์ที่ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ ถึงจะเป็นคน "แก่ " เป็น"สลิ่ม" ก็กตัญญู รู้คุณ รักและพร้อมปกป้องสถาบันอย่างสุดใจครับ ใครจะบอกว่ามันคือ propaganda ให้ตายยังไงมันก็ไม่ใช่ครับ
ผมว่าน้องๆน่าจะเข้าใจ "พ่อแม่สลิ่ม"บ้างแล้วนะครับ ว่าทำไมเค้าถึงรักและพร้อมที่จะปกป้องสถาบันได้ขนาดนี้ครับ
ไม่ได้ให้คิดเหมือน
แต่ให้เข้าใจในความต่างครับ
วชิรภัทร อินทุภูติ