ค้นหาบทความ 🙄


 

5/11/66

ฟ้าลิขิต ภูมิปัญญา ปาฏิหาริย์ | ๒๔๑ ปี จักรีวงศ์

ดูข่าวในหลวง ทรงเปิด “ปราสาทพระเทพบิดร” ให้ประชาชนเข้ากราบสักการะ… ทำให้ผมอยากเขียน เรื่องราวต่อไปนี้ ด้วยคำถามที่คั่งค้างในจิตใจ มาหลายปี ว่า ..ราชวงศ์จักรี ยืนยงมาได้อย่างไร ถึง ๒๔๑ ปี ในท่ามกลาง การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ และสากลโลกที่พัดพา สถาบันกษัตริย์จำนวนมากสูญหายไป…


บทความโดย :    เถกิง สมทรัพย์



   ใครจะมีข้อคิดเชิงวิชาการอย่างไรก็ตาม…แต่ผมมีข้อสังเกตบางประการว่า..

        หลายเรื่องราวในหลายรัชกาลเกิดจากภูมิปัญญาของสถาบันกษัตริย์ สถาบันการปกครองไทย และ หลายวาระเกิดจากชะตาฟ้าลิขิตบันดาล…หรือ ปาฏิหาริย์ด้วยซ้ำ  จึงทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นเสาหลัก ค้ำจุนชาติ บ้านเมืองมายาวนานอย่างสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกสากลเสมอมา..

ผมจะลองเขียนโดยย่อดังนี้…

      เมื่อสิ้นในหลวงรัชกาลที่ ๒ 
…ถ้านับกันตาม ฐานันดรแล้ว…ในหลวงรัชกาลที่ ๔ จะต้องเป็นรัชกาลที่ ๓ …  แต่ถ้าเราไม่มี “สมเด็จพระนั่งเกล้าฯ เป็นรัชกาลที่ ๓” เราก็จะไม่มีใครสะสม ”เงินในถุงแดง” เก็บเอาไว้เป็นเงินออมให้เรานำมาใช้ไถ่ถอนแผ่นดินจากมหาอำนาจยุโรป ...   รวมถึงการใช้พระราชทุนทรัพย์ทำนุบำรุงแผ่นดิน สร้างวัดวาอาราม บูรณะปฏิสังขรณ์พระบรมมหาราชวังให้งดงามอร่ามเรืองรองมาเป็นมรดกอันล้ำค่าจนถึงปัจจุบัน 




ในห้วงเวลาการครองแผ่นดินของรัชกาลที่ 3 นั้น….

      ฟ้าก็ขีดเส้นชีวิตให้ “เจ้าฟ้ามงกุฎ” ต้องอยู่ในเพศบรรพชิต บวชเรียน เดินทางไปทั่วราชอาณาจักรเพื่อศึกษาธรรม และเรียนรู้ศาสตร์ศิลปะที่หลากหลายในยามที่การศึกษายุคใหม่จากตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่ตะวันออก 

       เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎ ได้รับบัลลังก์ คืนมาต่อจากในหลวงรัชกาลที่ ๓ …พระองค์ท่านจึงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน ที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตกมากกว่าพระมหากษัตริย์ก่อนหน้านั้น 

คำถามก็คือ…  ถ้า ฟ้าไม่ลิขิต ให้สมเด็จพระนั่งเกล้ามาเป็นรัชกาลที่ ๓ ก่อนเจ้าฟ้ามงกุฎ…แล้วเจ้าฟ้ามงกุฎ จะทรงมีเวลาหลายสิบปีในเพศบรรพชิตสนใจใฝ่เรียนใฝ่ศึกษาจนแตกฉานหรือไม่ ? 
  การศึกษาเล่าเรียนในหลายปี ที่เป็นพระภิกษุทำให้ “สมเด็จพระจอมเกล้าฯ”ในหลวงรัชกาลที่ ๔  ให้ความสำคัญกับการศึกษาแบบตะวันตกอย่างมาก….

   ดังนั้น จึงโปรดเกล้าฯให้ จัดเตรียมการศึกษาให้กับรัชทายาท และข้าราชบริพารในยุคนั้นอย่างกว้างขวางดังที่เราทราบกันดี 

“สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง “ในหลวงรัชกาลที่ ๕ …จึงได้รับการศึกษาจากฝรั่งมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ แม้พระองค์ท่านจะไม่เคยเป็น “นักเรียนนอก” แต่มีความรู้ความเข้าใจในการศึกษาแบบตะวันตกและเดินทางไป “ดูงาน” ในต่างประเทศนำเอาแบบแผนการพัฒนาบ้านเมืองมาปรับใช้กับสยาม 

เพราะรากฐานการศึกษาที่ในหลวงรัชกาลที่ ๔  ปลูกฝังให้แต่เล็กๆ จึงทำให้ในหลวงรัชกาลที่ ๕ “ทรงคุ้นเคยกับฝรั่ง” ที่มาถวายความรู้แก่พระองค์มาตั้งแต่เยาว์วัย

ดังนั้นเมื่อพระองค์ท่าน เสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศมหาอำนาจต่างๆ ในยุโรป พระองค์จึงเสด็จพระราชดำเนินอย่าง “สง่างาม” ด้วยทัศนคติ ที่ไม่ได้คิดว่าตนเองด้อยกว่าฝรั่ง 

     ในสองรัชกาลนั้นคือ  ห้วงวิกฤติของสยามที่สามารถรอดพ้นจากลัทธิล่าอาณานิคมมาได้ด้วยการเดินหน้าเข้าสู่สากลด้วยวิถีการทูตที่ประสบความสำเร็จ

ถ้าฟ้าไม่ลิขิตให้ “เจ้าฟ้ามงกุฎ” ไปเป็นพระภิกษุศึกษาเล่าเรียนอยู่นานปี ..จนเห็นความสำคัญของการศึกษาอย่างยิ่งยวด…”ในหลวงรัชกาลที่  ๕ “ จะได้รับการศึกษาอย่างตะวันตกเป็นอย่างดีมีรากฐานแข็งแรง มาตั้งแต่เล็กๆหรือไม่ ??

ในหลวงรัชกาลที่ ๔ กับ ในหลวงรัชกาลที่ ๕ …ทั้งสองพระองค์ไม่ได้เป็น “นักเรียนนอก” แต่ทุ่มเทให้กับการศึกษาแบบตะวันตกอย่างเต็มที่ทั้งการก่อตั้งโรงเรียนสอนวิชาภาษาอังกฤษหรือส่งไปเรียนในต่างประเทศ

ในหลวงรัชกาลที่ ๕  …ส่งพระราชโอรสและข้าราชบริพารของพระองค์ไปเรียนหนังสือในแทบทุกประเทศมหาอำนาจในยุโรป เพื่อศึกษา และนำความก้าวหน้าในยุโรปกลับมาพัฒนาบ้านเมืองให้ทัดเทียมนานาประเทศ…ดังพระราชดำรัสที่เตือนนักเรียนนอกทุกคนว่า 

“ให้พึงนึกในใจไว้ว่าเราไม่ได้มาเรียนจะเปนฝรั่ง เราเรียนเพื่อจะเปนคนไทยที่มีความรู้เสมอด้วยฝรั่ง”

        พระราชโอรสของ “สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง” ได้รับการศึกษาจากหลายประเทศสำคัญๆ ในยุโรป…ทั้งเยอรมัน รัสเซีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอังกฤษ ที่แทบทุกพระองค์จะต้องมาเรียนวิชาเบื้องต้นที่อังกฤษ ก่อนจะแยกย้ายไปศึกษาต่อในเยอรมัน ฝรั่งเศส หรือ รัสเซีย 

   จบจากวิกฤติล่าอาณานิคม…ประเทศสยาม ก้าวเข้าสู่วิกฤติสงครามโลก และวิกฤติลัทธิการปกครองแบบตะวันตก ที่ระบอบประชาธิปไตยมาแทนที่ระบอบกษัตริย์ในหลายประเทศที่เปลี่ยนแปลงกันมากมาย !! 

เมื่อสิ้นแผ่นดินพระพุทธเจ้าหลวง…

     ในหลวงรัชกาลที่ ๖ และในหลวงรัชกาลที่ ๗ ….เป็นพระราชโอรส ที่สำเร็จการศึกษามาจาก “ประเทศอังกฤษ” …ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงระดับมหาวิทยาลัย 

เมื่อในหลวงรัชกาลที่ ๖  ครองราชย์…คือช่วงการเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ..ที่มีมหาอำนาจอย่างเยอรมันและอังกฤษอยู่คนละฝั่ง 

คิดเล่นๆว่า ถ้าเรามีพระเจ้าอยู่หัวที่สำเร็จการศึกษาจากเยอรมัน…สยามจะอยู่ฝ่ายใด… ?  และถ้าอยู่กับฝ่ายเยอรมัน…อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเยอรมันแพ้สงคราม ? !! 

ในหลวงรัชกาลที่ ๖  นำสยามเข้ากับฝ่ายอังกฤษและอยู่ในฝ่ายชนะสงคราม 

ผลของสงครามโลกครั้งที่ ๑  …สร้างความอ่อนแอให้กับหลายราชวงศ์สำคัญๆ ในยุโรปที่เข้าร่วมรบ เช่น ออสเตรีย ,  เยอรมัน จนไม่สามารถจะรักษาสถาบันเอาไว้ได้ในเวลาต่อมาไม่นาน ...  ต่างจากราชวงศ์อังกฤษ ที่ยืนหยัดมาได้อย่างเข้มแข็งหลังสงครามโลก… 

     และเราต้องไม่ลืมว่า  ประเทศอังกฤษ คือประเทศที่เป็นแม่แบบการปกครองระบบ ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุข ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ รวมทั้งพระประยูรญาติหลายพระองค์ได้มีโอกาสเรียนรู้เมื่อครั้งศึกษาอยู่ที่นั่น ...

“สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง” ทรงเน้นในการส่งพระราชโอรสไปรับการศึกษาที่อังกฤษก่อนที่จะไปเล่าเรียนในประเทศอื่นๆที่สนใจ
แม้จะมีความขัดแย้งวุ่นวายในช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี  ๒๔๗๕ …แต่ในหลวงรัชกาลที่ ๗  ก็ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 

ผมเชื่อว่า การที่ทั้งสองพระองค์ ทรงศึกษาจากประเทศอังกฤษ จึงทำให้ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย มิได้รุนแรงเหมือนในหลายประเทศในยุโรป…


ภูมิปัญญาของสถาบันพระมหากษัตริย์ ที่วางรากฐานเอาไว้หลายสิบปีล่วงหน้า ได้ลดทอนความรุนแรงลงมาได้ เมื่อเกิดเหตุการณ์พลิกแผ่นดิน…

เมื่อในหลวงรัชกาลที่ ๗   ทรงสละราชสมบัติ

     …พระองค์มิได้เลือกเชื้อพระวงศ์อาวุโสชั้นผู้ใหญ่ขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์.. 

หากพระองค์ทรงเลือก “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล”  ในขณะที่มีพระชนมายุเพียง ๙ พรรษา…ขึ้นมาเป็นในหลวงท่ามกลางสถานการณ์วิกฤติที่สุดของราชวงศ์จักรี (ดังปรากฎในพระราชบันทึกถึงพระยาวังสัน ทูตไทยในปารีส)

ในเวลานั้น “ในหลวงอานันท์” ไม่ได้เรียนที่เยอรมัน ไม่ได้เรียนที่อังกฤษ…ไม่ได้ประทับในวังใหญ่หรูหรา  แต่ทท่านทรงพักอาศัยอยู่กับ พี่น้องและแม่ใ นอพาร์ตเมนต์ห้องเช่าชั้นล่างที่…สวิตเซอร์แลนด์ 

นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ “ภูมิปัญญาของสถาบันฯ มาบรรจบกับ ฟ้าบันดาล” จนเกิดแผ่นดินใหม่ที่ต่างไปจากอดีตโดยสิ้นเชิง..

เป็นที่ทราบกันดีว่า “เจ้าฟ้ามหิดล” ทรงเป็นพระราชโอรสของในหลวงรัชกาลที่ ๕ กับ สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ซึ่งมีพระราชโอรสองค์โต คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ผู้ที่จะต้องเป็นพระมหากษัตริย์องค์ถัดมา

แต่  เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศพระองค์ท่านสิ้นพระชนม์เสียแต่ยังเยาว์ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๓๗ 

   …เส้นทางราชบัลลังก์จึงเปลี่ยนไปยัง เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ในหลวงรัชกาลที่ ๖  และสืบทอดต่อไปยังพระอนุชาคือ เจ้าฟ้าประชาธิปก ในหลวงรัชกาลที่  ๗  พระราชโอรสของ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

นั่นก็ดูเหมือนว่า  เส้นทางสายราชบัลลังก์จะผ่านเลยบุตรหลานของสมเด็จพระพันวัสสาอัยยิกาเจ้าไปแล้ว

…แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเกือบ ๔๐ ปี ..เส้นทางสายนั้น พลันหวนคืนมาอย่างไม่มีใครคาดถึง 

ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ไม่มีพระราชโอรส..
ในหลวงรัชกาลที่ ๗ ไม่มีรัชทายาท…

ชะตาบ้านเมือง ได้ชี้ไปยัง “เจ้านายเล็กๆ” วัย ๙ ปี   ที่กำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานในโรงเรียนประถม ณ เมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์   ให้กลายมาเป็น “ยุวกษัตริย์” อันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย ในห้วงเวลาแห่งสุญญากาศของสถาบันพระมหากษัตริย์สยาม… 

ชีวิตของ “ในหลวงอานันท์” แทบจะแตกต่างจากเจ้านายองค์อื่นๆ โดยสิ้นเชิง เพราะบิดาของพระองค์คือ เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช นั้น เปรียบเสมือน “เจ้าฟ้าพเนจร”..ที่ตลอดพระชนม์ชีพต้องเสด็จพระราชดำเนินไปแทบจะรอบโลก   ทรงเข้ารับการศึกษาเบื้องต้นที่อังกฤษและไปสำเร็จการศึกษาวิชาทหารจากเยอรมัน…แต่ฟ้าลิขิตหักเหชีวิตให้ต้องไปเรียนวิชาการแพทย์ทั้งในอังกฤษและอเมริกาและพรหมบันดาลให้พบรักและแต่งงานกับนางสาวสังวาลย์..สมเด็จย่าผู้มีชีวิตยิ่งกว่าเทพนิยายซิลเดอเรลล่า ....

ในเวลานั้น ทั้งสองก็ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานให้มั่นคง หากยังต้องเดินทางไปทั่วโลกเพื่อเรียนหนังสือและสร้างครอบครัวไปด้วยกัน ...
  • สมเด็จพระพี่นางฯ ประสูติที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
  • ในหลวงอานันท ประสูติที่ไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมัน
  • ในหลวงภูมิพล ประสูติที่บอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา..
       เมื่อครั้นได้กลับมายังสยามเพียงไม่นาน…”เจ้าฟ้ามหิดล” ก็ทรงจากครอบครัวของท่านไปไม่มีวันกลับและเกิดเหตุการณ์พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในปี ๒๔๗๕ 

 จากนั้น อีกหนึ่งปี ครอบครัวราชสกุลมหิดลก็เริ่มต้น ผจญภัยในโลกกว้างอีกครั้งหนึ่ง…โดยไม่รู้อนาคตว่าจะได้กลับมาบ้านเกิดเมืองนอนหรือไม่ 

หลังจากเลือกประเทศที่จะพำนักอยู่หลายแห่ง…เหมือนชะตาลิขิตอีกครั้ง…เมื่อสวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นตัวเลือกสุดท้ายที่เจ้านายเล็กๆ ทั้งสามพระองค์ จะใช้เป็นที่เล่าเรียน และอยู่อาศัยอย่างสมถะ ..ซึ่งที่ไม่ใช่อังกฤษ ไม่ใช่อเมริกา ไม่ใช่ฝรั่งเศส ไม่ใช่เยอรมัน…แต่เป็นสวิตเซอร์แลนด์..ประเทศที่เป็นกลางทางการเมืองและมีระบบการศึกษาที่ดีเยี่ยม.. 

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในเวลานั้นกำลังรุ่งเรืองด้วยระบบการศึกแนวใหม่ที่มุ่งสร้างเด็กๆให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ ทั้งทักษะการเรียนในห้องเรียนและการใช้ชีวิตนอกห้องเรียน

ในหลวงอานันทมหิดล กับ ในหลวงภูมิพล จึงมีรากฐานการศึกษาจากระบบใหม่ล่าสุดของโลกในแผ่นดินที่มีแต่ความสงบ สันติสุข สมถะ ทรงเติบโตขึ้นมาต่างจากพระมหากษัตริย์ไทยองค์ก่อนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ชีวิตวัยเยาว์ ที่ไม่ได้แตกต่างไปจากคนธรรมดาสามัญเท่าใดนัก

เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒..   ทั้งสองพระองค์ก็เติบโตและศึกษาเล่าเรียนหนังสือในแผ่นดินเป็นกลางอย่างสวิตเซอร์แลนด์ และเรียนรู้ชีวิตลำบากของผู้คนในยุโรปท่ามกลางสงครามโลกอันโหดร้าย 

ช่วงเวลา ๑๒ ปีของรัชกาลที่ ๘ นั้น… ราวกับว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ล่องลอยอยู่ในจินตนาการของชาวไทย มิได้ประจักษ์ชัดด้วยสายตา แต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความผูกพันถวิลหาอย่างจงรักภักดี ....

ครั้นสงครามโลกครั้ง ๒ สิ้นสุดลง 

 …ทั้งสองพระองค์ จึงได้มีโอกาสเสด็จพระราชดำเนินกลับสยามประเทศเป็นมิ่งขวัญของปวงชนชาวไทยอีกครั้ง… 

แต่แล้ว  ก็เกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนใจคนทั้งแผ่นดินเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ..
ดูเหมือนว่าการจากไปอย่างเศร้าสลดของในหลวงอานันทฯ จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยในยามนั้นเหมือนช่วงพระอาทิตย์ตกดิน…มืดมิดที่สุดในประวัติศาสตร์ 

แต่สิ่งที่ฟ้า ได้กำหนดมานั้น นอกเหนือความคาดหมายของคนเราเสมอมา…คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต
Hero มักจะก่อกำเนิดมาจาก Zero…

นั่นคือ การขึ้นครองราชย์ของในหลวงภูมิพล “รัชกาลที่ ๙ “  ในห้วงเวลาที่ลำบากยากที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ราชวงศ์จักรี ที่ในยามนั้น ไม่มีใครจะคาดคิดว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีก ... 

หลังจากขึ้นครองราชย์แล้วในหลวงภูมิพล ทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์ แผ่นดินที่หล่อหลอมชีวิต ความคิด และปณิธาน ให้พระองค์ก้าวขึ้นสู่การเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของโลก ..

ในห้วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จบลง…  มหาอำนาจทั่วโลกร่วมกันจัดตั้ง องค์การสหประชาชาติ เป็นองค์กรที่มีวาระยิ่งใหญ่ในการสร้างโลกสันติภาพไม่ให้เกิดสงครามทำลายล้างกันอีกเหมือนสงครามโลกสองครั้งที่ผ่านไป

หลักการสำคัญๆของสหประชาชาติก็คือ  มุ่งเน้นการพัฒนาสังคม เพื่อสร้างสังคมโลกขึ้นมาใหม่หลังจากสงครามที่ล้างผลาญกันไปหลายสิบล้านคน 

สวิตเซอร์แลนด์ เป็นประเทศที่เป็นชุมทางการประชุมนานาชาติมานานนับร้อยปีและกลายเป็นที่ตั้งในยุโรปของ องค์การสหประชาชาติ… 

ในหลวงภูมิพล ทรงศึกษาในสวิตเซอร์แลนด์ในช่วงที่สหประชาชาติกำลังมีบทบาทอย่างมากในการกระจายแนวคิดการพัฒนาประเทศต่างๆ ไปทั่วโลก ทั้งเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหาร การพัฒนาสังคม การพัฒนาสาธารณูปโภค การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และอื่นๆ 

บรรยากาศของการสร้างโลกสันติภาพยุคหลังสงครามที่อบอวลอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ และในสากลโลกเวลานั้น…น่าจะทำให้ “ในหลวงภูมิพล” ได้เรียนรู้กำลังอำนาจแนวใหม่ของโลกยุคหลังสงคราม และทรงนำมาใช้กับประเทศชาติและประชาชนของพระองค์ตลอดรัชสมัย.. 

กำลังอำนาจแนวใหม่ มิใช่กำลังอำนาจทางทหาร แต่เป็นกำลังอำนาจแห่งการพัฒนามนุษย์ สร้างสรรค์สังคมให้อยู่ดีกินดี พ้นจากความยากจน กำลังอำนาจชนิดนั้นเป็นสิ่งที่คนในยุคปัจจุบันเรียกว่า Soft Power…

….
จากแผ่นดินรัชกาลที่ ๑  จนถึงรัชกาลที่ ๗  

       ..สยามอยู่ท่ามกลาง การใช้กำลังอำนาจทางทหารรุกราน กันไปมาทั่วโลก..พระมหากษัตริย์ไทยต้องสร้างสายสัมพันธ์ผูกไมตรีกับมหาอำนาจทางทหารแทบทุกประเทศ รวมทั้งการส่งพระราชโอรสและข้าราชการไปเรียนรู้วิทยาการต่างๆ มาจากมหาอำนาจเหล่านั้นทั้งรัสเซีย เยอรมัน อังกฤษ

      แต่ครั้นโลกเผชิญหน้าหายนะครั้งใหญ่ จากสงครามโลกครั้งที่ ๒ …นานาชาติได้ตระหนักถึงภัยพิบัติอันโหดร้าย และร่วมใจกันหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก 

ยุโรป คือ  จุดกำเนิดแห่งหายนะสงครามโลก 

ยุโรป จึงเริ่มต้นสร้างสันติภาพจากการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติและมีที่ตั้งอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ แผ่นดินเป็นกลางที่สงบสันติทันสมัย  แผ่นดินที่ “เจ้านายเล็กๆ” ไปพำนักอาศัยในยามที่บ้านเกิดเมืองนอนลุกเป็นไฟ 

ใครจะรู้ได้ล่ะว่า…”เจ้านายเล็กๆ ที่กำพร้าพ่อ ”ทั้งสองพระองค์จะกลายมาเป็น พระมหากษัตริย์ ที่ถูกหล่อหลอมมาจากประเทศที่เป็นศูนย์กลางกำหนดสถานการณ์ทิศทางใหม่ของโลกในยุคต่อมา
หากมิใช่เพราะภูมิปัญญาและ..ฟ้าที่กำหนด…


แม้จะสิ้นสงครามโลกครั้งที่ ๒ ลงไปแล้ว …แต่สายลมเยียบเย็ นแห่งการเปลี่ยนแปลงได้พัดกระหน่ำอีกครั้งในนามของ Cold War


ประวัติศาสตร์การเมืองโลก ในยุคต้นรัชกาลที่ ๙ ได้บอกเราชัดเจนว่า

มหาอำนาจโลก ถูกแบ่งเป็น 2 ค่าย คือ ...


   ทุนนิยม กับ คอมมิวนิสต์ 

ประเทศไทย ต้องยืนหยัดต่อต้านภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ที่มาจากจีนและรัสเซีย โดยมีสหรัฐอเมริกา และชาติตะวันตกเป็นเพื่อนที่แสนดีของไทยในยามนั้น 

สถาบันพระมหากษัตริย์ กองทัพและรัฐบาล  ได้ร่วมมือกันแก้ไขปัญหาภัยคอมมิวนิสต์จนผ่านพ้นด้วยดีจากการต่อสู้หลายรูปแบบ

โดยมีในหลวงรัชกาลที่ ๙  ทรงถือธงนำเสด็จพระราชดำเนินเข้าสู่พื้นที่ชนบทกันดารทั่วประเทศเพื่อนำการพัฒนาเข้าถึงประชาชนทุกแห่งหน 

ระองค์ไม่ได้มองประชาชน (บางคน) ของท่านเป็น “คอมมิวนิสต์” พระองค์ทรงมุ่งมั่น หลักการทำงานแก้ไขปัญความยากจน ยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น  พระองค์เชื่อมั่นว่า เมื่อประชาชนอยู่ดีกินดี ภัยจากคอมมิวนิสต์ก็จะหมดไป และในกาลต่อมาก็เป็นดั่งที่พระองค์กล่าวไว้จริงๆ 

ในยุคนั้น   มหาอำนาจใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังการคุกคามประเทศไทยด้วยภัยคอมมิวนิสต์ประเทศหนึ่ง คือ “จีน”…ที่ภาพของ “เมาเซตุง” ถูกสร้างให้เป็นปีศาจร้ายของคนไทยทั้งประเทศ

แต่แล้วในปี พ.ศ. ๒๕๑๘  ประเทศไทยก็เปิดสัมพันธไมตรีกับจีนแผ่นดินใหญ่ โดยรัฐบาลของอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เดินทางไปจับมือกับประธานเหมาถึงปักกิ่ง

ในห้วงเวลานั้น ประเทศไทยยังต้องเผชิญสงครามยึดแผ่นดินจากเพื่อนบ้านที่รุกรานมาประชิดพรมแดนในเหตุการณ์ที่เรียกกันว่า ทฤษฎีโดมิโน …

แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ ได้เป็นศูนย์กลางความสามัคคีของคนไทยทุกภาคส่วนช่วยกัน “หยุดการยึดครองของคอมมิวนิสต์ได้ ” โดยไม่ล้มเป็นโดมิโน่ตามไปด้วย 

ในที่สุด…จีนแผ่นดินใหญ่ …จากผู้คุกคาม กลายมาเป็น มหามิตร ผู้ยิ่งใหญ่ของไทย…

ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑  นายเติ้ง เสี่ยว ผิง เดินทางมาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลที่พระตำหนักจิตรลดา..

ระหว่างที่เยือนประเทศไทย ๕ วัน เติ้ง เสี่ยว ผิง ได้สนทนากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และยังได้ทรงเชิญเติ้ง เสี่ยว ผิง เข้าร่วมพระราชพิธีผนวชสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ ๖  พ.ย. ๒๕๒๑ 

เติ้ง เสี่ยว ผิง เป็นผู้นำคนหนึ่งที่ได้ถวายผ้าไตร แด่พระบรมโอรสาธิราชฯ ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่สื่อจีนระบุในเวลาต่อมาว่า “เติ้งได้ชนะใจประชาชนชาวไทย” (คัดจาก ผู้จัดการออนไลน์) และต่อจากนั้นโมเมนตัม แห่งความสัมพันธ์ก็เริ่มต้นเคลื่อนที่ไปในทิศทางมิตรภาพมากขึ้น มากขึ้น…เพราะนับจากนั้นประธานาธิบดีจีนทุกสมัยก็ได้เยือนประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ในฐานะพระราชอาคันตุกะ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  

จีน เคยมีบันทึกไว้ว่า ความสัมพันธ์ไทยจีนในยุคใหม่นั้น..บทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยมีความสำคัญยิ่งยวด เพราะพระบรมวงศานุวงศ์แทบทุกพระองค์เสด็จเยือนประเทศจีนอย่างต่อเนื่องและมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระเทพฯ  ที่ได้ทรงเปลี่ยนจากการเรียนรู้ภาษาตะวันตกมาเริ่มเรียนภาษาจีนอย่างจริงจัง และมุ่งเน้นการเสด็จพระราชดำเนินไปเยือนประเทศจีนนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔  มาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นระยะเวลานานถึง ๔๒  ปีติดต่อกัน

พระองค์ทรงเป็นที่รักของชาวจีนมาโดยตลอด…

ถ้าจะเรียกพระองค์ว่า ทรงเป็นเอกอัครราชฑูตไทยประจำประเทศจีนตลอดกาล…ก็ไม่น่าจะผิดนัก


สถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ได้มีบทบาทนำในการสร้างสายสัมพันธ์นี้ด้วยวิถีทางที่ลึกซึ้งมากไปกว่าความสัมพันธ์ทางการทูตทั่วไป ...

ก่อนที่โลกจะเริ่มเห็นประเทศจีนเป็น Super power ของโลก…ประเทศไทยของเรา ได้ก้าวเข้าไปอยู่ในหัวใจของชาวจีนเรียบร้อยแล้วนานนับสิบๆปี 
ความร่วมมือของสถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันทหาร และสถาบันการเมืองไทย ผสานร่วมมือกันเปลี่ยนมหาอำนาจผู้เป็นภัยคุกคามเสรีภาพของประเทศไทยนานหลายทศวรรษให้กลายมาเป็นมหามิตรผู้ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน… 

สายลมของการเปลี่ยนแปลง
ทางการเมืองในประเทศไทย
นั้นแปลก…

ในยุคก่อนนั้น  คนไทยจะชื่นชมนิยมยินดีกับสหรัฐอเมริกามากกว่าจีน และรัสเซีย …

แต่ถึงวันนี้  คนไทยจำนวนมาก ดูเหมือนจะนิยมชมชอบ รัสเซียกับจีน ไม่ได้น้อยไปกว่าอเมริกาหรือชาติตะวันตกอื่นๆ ที่เคยครองใจชาวไทยมานาน… 

( ข้อความที่ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน กล่าวยกย่องในหลวงภูมิพลนั้น แพร่หลายไปทั่วถึงพสกนิกรชาวไทยมานานปีและเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อความยกย่องดังกล่าวมีส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพลักษณ์ของรัสเซียดีขึ้นในสายตาของชาวไทยผู้มีหัวใจจงรักภักดี)

แผ่นดินในรัชกาลที่ ๙ เคลื่อนผ่านไปอย่างโศกเศร้าเชื่องช้ายังไม่จางหาย แต่ยังตรึงแน่นอ้อยอิ่งอยู่ความทรงจำของพวกเราชาวไทยตลอดเวลา

เพียงชั่วไม่นานนัก…แผ่นดินในหลวงรัชกาลที่ ๑๐  ผ่านเข้ามาแล้วถึง ๗ ปี…

       พระองค์ทรงสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยวิชาการทหารดันทรูน ออสเตรเลีย เป็นพระมหากษัตริย์นักการทหาร ที่ขึ้นครองราชย์ในช่วงที่การเผชิญหน้าทางสงครามของมหาอำนาจคู่แค้นรัสเซียกับนาโต้ (อเมริกา) กลับมาเดือดระอุอีกครั้งหนึ่งในรอบหลายสิบปี และส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และการเมือง ให้ตึงเครียดไปทั่วโลก มีการใช้แสนยานุภาพทางการทหารข่มขวัญและทำลายล้างกันรุนแรง ...นับเป็นความเหมาะเจาะอีกครั้งหนึ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยกับสถานการณ์วิกฤติโลกล่าสุด…

การเสด็จพระราชดำเนินของในหลวง และสมเด็จพระราชินีไปร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ ๓  นั้นนับเป็นเหตุการณ์ที่นำความปิติยินดีมาสู่ปวงชนชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง…

เพราะนอกจากจะเป็นการตอกย้ำ ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ของสองราชวงศ์แห่งราชอาณาจักรไทยกับสหราชอาณาจักรที่แนบแน่นข้ามศตวรรษแล้ว ..  พวกเราได้เห็นรอยยิ้มของทั้งสองพระองค์อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ไม่เห็นมานาน  และหาก “ปาฏิหาริย์ที่พวกเรารอคอย” นั้นเป็นความจริงขึ้นมา..เราคงจะได้เห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมสุขของแผ่นดินเช่นนี้ตลอดไป…

๒๔๑  ปีแห่งราชวงศ์จักรี
เคลื่อนผ่านกาลเวลามามากมายพบพานทั้งสุข
ทั้งทุกข์โศก ทั้งแย้มยิ้มและร้องไห้


๒๔๑  ปีของสมาชิกแห่งราชวงศ์จักรี มีทั้งสมหวัง พลัดพราก จากลาและหวนคืน แต่ไม่ว่าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง จะพัดกระหน่ำอีกกี่ครั้งและรุนแรงแค่ไหนก็ตาม…. สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยก็ยังคงดำรงบทบาทภารกิจและหน้าที่ต่อปวงชนชาวไทยต่อไป..ดังที่เคยเป็นมาตลอด  ๒๔๑  ปี

(ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามจนถึงบรรทัดนี้)
บทความโดย :    เถกิง สมทรัพย์



ศึกษาเพิ่มเติม 

  • เงินถุงแดง คืออะไร ?   https://www.stou.ac.th/study/sumrit/5-60/page1-5-60.html 
     โดย...คุณสิริน โรจนสโรช   
      บรรณารักษ์  สำนักบรรณสารสนเทศ   มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช  (เรียบเรียงเนื้อหาจากบทวิทยุกระจายเสียง ปี 2557)

 


Admin Bee

สนับสนุน Misc.Today

นี่คือ ลิ้งค์พันธมิตร หรือที่เรียกว่า affiliate link ซึ่งหมายความว่า... หากคุณคลิ๊กลิ้งค์นี้ และซื้อผลิตภัณฑ์ อะไรก็ได้ ฉันจะได้ค่าคอมมิชชั่นเล็กน้อย สิ่งนี้จะช่วยสนับสนุนเว็บไซด์ และช่วยให้กำลังใจเราต่อไป






 

คุณอาจสนใจ

เครื่องดื่มมหัศจรรย์ เพื่อสุขภาพที่ดี


  ชาหมักคอมบูชะ Scoby doit  



“ จุลินทรีย์ โพรไบโอติก ที่มีอยู่ในชาหมัก คอมบูชะ ( Kombucha ) สามารถแก้ไขปัญหาของระบบทางเดินอาหาร และลำไส้”

KOMBUCHA ORIGINAL 101 / by Scoby Do it 💖
    เครื่องดื่มชาหมักเพื่อสุขภาพ คอมบูชา หรือ คอมบูชะ ( Kombucha ) Scoby do it คือ เครื่องดื่มที่ผ่านกระบวนการหมัก มีสรรพคุณทางยา โดยมี “จุลินทรีย์ โพรไบโอติก Probiotics” ที่เป็นพระเอกของเครื่องดื่มชนิดนี้ “จุลินทรีย์” ที่อยู่ในชาหมักที่เกิดจากการหมักชา จะมี สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ และอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด เบาหวาน มะเร็ง และโรคอัลไซเมอร์ได้ 

   >> ดูเพิ่มเติม 




5 บทความ ยอดนิยม ในรอบ 30 วัน

🟡 โพสต์แนะนำ

คริสเตียนไซออนนิสท์ คือใคร ? - Christian Zionist

ช่วงนี้ ผมติดตามหาข้อมูลเกี่ยวกับ อิสราเอล กับ ปาเลสไตน์ ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นแนวประวัติศาสตร์เสียมาก เพราะผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า การที่เราจะ...

Popular Posts

แนะนำหนังสือ


  BOOKs OF THE DAY








ผู้สนับสนุน







Xiaomi Kingsmith Walking Pad

 Xiaomi Kingsmith Walking Pad R1 Pro/ R2 ลู่เดิน/วิ่งไฟฟ้า พับเก็บได้ สำหรับการออกกำลังกายภายในบ้าน >> คลิ๊กดูเพิ่มอีก


ป้ายกำกับ / Tag labels

2475 (1) กฎหมาย (4) กฐิน (2) กรรม (5) กระเป๋า (3) กรุงเทพฯ (19) กรุงศรีอยุธยา (11) กล้องถ่ายภาพ (7) กลอน (4) กลาโหม (9) การเกษตร (7) การจัดเก็บ (3) การเมือง (51) การศึกษา (130) กิจกรรมกลางแจ้ง (2) กีฬา (3) เกษตร (3) เกี่ยวกับสัตว์ (13) ไกลกังวล (1) ขงจื้อ (1) ขนม (2) ขอมไม่ใช่เขมร (6) ข้าว (3) ข่าวสาร (22) ขิง (1) เขมร (10) โขน (2) คณะราษฎร (10) คติธรรม (1) คนเล่านิทาน (14) ครัว (1) ครู (6) ความเชื่อ (12) ความรู้ (152) คอมมิวนิสต์ (31) คำภีร์ (2) คำสอน (11) เครื่องบิน (7) เงินตรา (4) จอมพล ป. พิบูล (1) จอมพล ป. พิบูลสงคราม (13) จีน (53) ช้าง (1) ชายแดนใต้ (5) ญี่ปุ่น (15) ดนตรีไทย (1) ดอกไม้ (1) เด็ก (5) เดนมาร์ก (1) ต้นไม้ (4) ตลาดนัด (1) ตำรวจ (2) เตา (1) เตือนภัย (16) แต่งงาน (1) ทรัพยากร (2) ทวิตเตอร์ (1) ทหาร (9) ท่องเที่ยว (28) ทะเล (3) ทัศนะ (49) ทำบุญ (5) ทำอาหาร (5) เทคโนโลยี (13) โทรศัพท์มือถือ (2) ธนบัตร (1) ธนาคาร (4) ธรณี (1) ธรรมชาติ (10) ธรรมในคำกลอน (1) ธรรมะ (6) ธรรมาธิปไตย (2) ธุรกิจ (10) นราธิวาส (3) นวดไทย (1) นักบิน (1) นักเรียน (4) นางใน (1) นาซี (1) นายกรัฐมนตรี (3) น้ำมัน (1) นิทานพื้นบ้าน (1) นิยาย (3) นิวเคลียร์ (1) เนปาล (1) แนะนำสินค้า (38) โนรา (1) ในหลวง ร.10 (1) ในหลวงรัชกาลที่ 9 (15) บริการ (3) บริหาร (3) บ่อน (1) บัตรเครดิต (2) บัตรประชาชน (1) บุคคล (42) บุญ (3) บุหรี่ (1) เบตง (1) แบรนด์ไทย (5) โบราณวัตถุ (13) โบราณสถาน (6) โบสถ์ (2) ประชาธิปไตย (53) ประท้วง (7) ประเทศไทย (175) ประธานาธิบดี (1) ประวัติศาสตร์ (148) ปรัชญาชีวิต (21) ปรีดี (2) ปลูกต้นไม้ (3) ปูติน (1) ผลไม้ (2) ผลิต (3) ผัก (1) ผิวสี (1) แผ่นดินไหว (1) ฝรั่งเศส (6) พม่า (6) พยาบาล (1) พระเจ้าตากสินมหาราช (2) พระนเรศ (1) พระพุฒาจารย์ (1) พระพุทธเจ้า (1) พระราชกรณียกิจ (4) พระสงฆ์ (10) พราหมณ์ (1) พิบูลสวัสดี (1) พิพิธภัณฑ์ (9) พุทธทาส (1) พุทธศาสนา (11) เพชรบุรี (3) เพลง (8) เพลงผ้า ปรพากย์ (1) แพทย์ (4) ฟาโรห์ (1) ไฟ (4) ไฟฉาย (1) ไฟฟ้า (1) ภัยพิบัติ (1) ภาคใต้ (6) ภาคอีสาน (1) ภาษา (9) ภาษิต (1) ภูเขาไฟ (1) ภูมิปัญญา (19) ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ (1) มวยไทย (5) มาเลเซีย (1) มุมไบ (2) มุสลิม (2) แม่ (1) ไม้ไผ่ (1) ยา (1) ยิว (3) ยูนนาน (1) เยาวชน (1) เยาวราช (1) รถเมล์ (3) รองเท้า (2) ระเบิด (3) รัชกาลที่ ๒ (1) รัชกาลที่ ๔ (3) รัชกาลที่ ๕ (7) รัชกาลที่ ๖ (1) รัชกาลที่7 (8) รัชกาลที่ ๘ (5) รัฐประหาร (7) รัสเซีย (12) ราชาศัพท์ (1) รามเกียรติ์ (1) เรือ (2) เรื่องเก่า (80) เรื่องเล่า (23) โรค (5) โรคระบาด (3) โรงงาน (1) โรงพยาบาล (9) โรงเรียน (16) โรฮิงญา (1) ลอนดอน (1) ลัทธิ (2) ลัทธิมาร์กซ์ (2) ล้านนา (3) ลาว (4) เลือกตั้ง (9) โลก (5) โลกร้อน (3) วัฒนธรรม (2) วัด (14) วันแม่ (1) วันสำคัญ (5) วิทยาศาสตร์ (9) วิทยุ (2) วิหาร (4) เวียดนาม (4) ไวรัล (1) ศัพท์ (1) ศาสนา (36) ศิริราช (5) ศิลปะ (5) ศิลปาชีพ (1) เศรษฐกิจ (3) สงขลา (1) สงคราม (50) สถานีรถไฟ (1) สนามบิน (2) สเปน (1) สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร (2) สมัยเมจิ (1) สยาม (12) สวนสนุก (1) สวิตเซอร์แลนด์ (2) สังคม (36) สำนวน (8) สิ่งประดิษฐ์ (13) สื่อ (3) สุขภาพ (14) สุภาพจิต (6) สุสาน (1) หนังแท้ (4) หนังสือ (31) หนังสือพิมพ์ (1) ห้องเรียน (4) เหมาเจ๋อตง (2) เหรียญ (1) อเมริกา (37) ออสเตรีย (1) อังกฤษ (6) อาชีพ (1) อาหาร (16) อาหารจานโปรด (9) อิตาลี (3) อินเดีย (8) อิสราเอล (3) อียิปต์ (1) อีสาน (1) แอปพลิเคชัน (4) ไอร์แลนด์ (1) cpr (1) deep state (1) democracy (1) Diarymisc (3) facebook (1) handmade (1) leather (1) metaverse (1) nomad (6) Nuclear (1) OPENUP (1) powerbank (1) shopee (1) Social media (2) social views (114) startup (1) UNESCO (4) xiaomi (1)


Miscellaneous | Misc.Today 🌱 . ขับเคลื่อนโดย Blogger.

 
miscthailand