บทความโดย : Pat Hemasuk
มีใครบ้างที่ตอนเป็นวัยรุ่นไม่มีแนวคิดเป็นขบถตัวน้อยๆ ?
"เกือบทุกคนเป็นแบบนี้กันหมด มีโอกาสแหกกฎเกณฑ์อะไรได้ก็อยากจะทำตามใจตนเองทั้งนั้น"
โตขึ้นมาอีกสักหน่อย ชีวิตในมหาวิทยาลัย ก็เริ่มเปลี่ยนแนวให้คนส่วนมากเริ่มคิดถึงสังคม และคิดว่าตัวเองก็สามารถเปลี่ยนส้งคมและเปลี่ยนโลกได้ พอได้อ่านอะไรที่ออกแนว "โซเชียลลิสต์" มันจะตรงใจและเข้าไปสู่แนวคิดแบบนี้ได้ไม่ยาก
ผมสามารถบอกได้เลยว่า คนวัยนี้ ถ้าใครไม่คิดทำบางสิ่งเพื่อสังคมใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม คือคนไม่มีหัวใจ บางคนที่คิดต่าง โดนเพื่อนยัดว่าเป็นพวกอิกนอร์เรนซ์ บางคนก็ทำงานแนวบริการสังคม ออกค่าย หรือเริ่มทำงานการเมืองเลยก็มี
หลังจากหมดวัยเรียนรู้ เริ่มทำงานยืนบนขาตัวเอง ก็เริ่มมีความคิดใหม่ แบบปากกัดตีนถีบ มีใครไม่เคยคิดแบบปัจเจกชนบ้าง อนาธิปไตย ( Anarchy) มันหอมหวานกว่าสิ่งอื่นที่เคยเห็นมา ชีวิตกฎเกณฑ์ที่ต้องทำทุกวัน มันบูลชิตมาก คำถามว่า ทำไม ทำไมๆๆๆๆ มันเต็มหัวไปหมด ไม่ทำแบบนี้บ้าง ไม่ได้หรือ กฎเกณฑ์ของสังคมมันทับหัวกดดันไปเสียรอบตัว
ผมสามารถบอกได้เลยว่า คนวัยนี้ ถ้าใครไม่คิดทำบางสิ่งเพื่อสังคมใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม คือคนไม่มีหัวใจ บางคนที่คิดต่าง โดนเพื่อนยัดว่าเป็นพวกอิกนอร์เรนซ์ บางคนก็ทำงานแนวบริการสังคม ออกค่าย หรือเริ่มทำงานการเมืองเลยก็มี
หลังจากหมดวัยเรียนรู้ เริ่มทำงานยืนบนขาตัวเอง ก็เริ่มมีความคิดใหม่ แบบปากกัดตีนถีบ มีใครไม่เคยคิดแบบปัจเจกชนบ้าง อนาธิปไตย ( Anarchy) มันหอมหวานกว่าสิ่งอื่นที่เคยเห็นมา ชีวิตกฎเกณฑ์ที่ต้องทำทุกวัน มันบูลชิตมาก คำถามว่า ทำไม ทำไมๆๆๆๆ มันเต็มหัวไปหมด ไม่ทำแบบนี้บ้าง ไม่ได้หรือ กฎเกณฑ์ของสังคมมันทับหัวกดดันไปเสียรอบตัว
หลังจากต่อสู้ชีวิตไปสักพัก จนเริ่มสร้างครอบครัวของตัวเอง
ความคิดใหม่ก็เข้ามาทีละน้อย หนังสือของ จอห์น ล็อก (John Locke) และ ฌ็อง-ฌัก รูโซ (Jean-Jacques Rousseau) ก็เริ่มอ่านรู้เรื่องมากขึ้นกว่าเมื่อสิบปีก่อน บางครั้งก็เริ่มหัวเราะตัวเองว่าในสมัยที่ยังเป็นขบถตัวน้อยๆ มันไร้สาระสิ้นดี ล็อกกับรูโซ คิดอะไรล้ำลึกกว่า คาร์ล ไฮน์ริช มาคส์ (Karl Heinrich Marx) ที่เคยชอบแนวคิดในวัยเรียนมากมาย โซเชียลลิสต์ มันเกือบจะไม่มีใครทำได้จริงในโลกนี้ มากที่สุดก็เพียงใกล้เคียง คอมมิวนิสต์ มันเป็นได้แค่ความฝันของคนสานตะกร้าที่อยากมีเงินเท่าคนสร้างจรวดที่ คาร์ล มาคส์ เอาความฝันมายัดหัวเท่านั้นแหละ ...
ต่อมาเมื่อชีวิตเริ่มตกผลึก เริ่มมีกิจการของต้วเอง จากคนรับเงินเดือนกลายมาเป็นคนจ่ายเงินเดือน ครอบครัวเริ่มมั่นคง เจ้าลูกชายลูกสาว ก็เริ่มมีความคิดของตัวเอง มีชีวิตแบบขบถตัวน้อยไม่ต่างกับที่พ่อแม่เคยเป็นมาก่อน และเมื่อเติบโตมากขึ้นการพัฒนาแนวคิดก็ไม่ได้แตกต่างกับสิ่งที่เคยเห็นเคยเป็น บางเรื่องก็เหมือนกับคนคุยกันคนละภาษา ....
แต่เชื่อเถอะว่า พ่อแม่ส่วนมากจะเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ดี เพราะพวกเขาเคยผ่านชีวิตที่มีแนวคิดแบบนี้มาก่อน
ในที่สุด สังคมของคนอีกวัยก็เหลือเพียงคนสองกลุ่ม !! ??
แต่เชื่อเถอะว่า พ่อแม่ส่วนมากจะเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ดี เพราะพวกเขาเคยผ่านชีวิตที่มีแนวคิดแบบนี้มาก่อน
ในที่สุด สังคมของคนอีกวัยก็เหลือเพียงคนสองกลุ่ม !! ??
คนกลุ่มแรก คือ รู้ทันโลกใบนี้ แล้วพยายามจะรักษาสิ่งที่ดีเพื่อกลับคืนสู่สังคม ให้โลกใบนี้มันยังคงหมุนต่อไปได้
กับคนอีกกลุ่ม ที่รู้ทันโลกและพยายามเอาเปรียบทุกสิ่งทุกอย่างในโลกใบนี้ กัดกินเอาเปรียบทุกคนที่ยังรู้ไม่เท่าทัน ...
ผมเชื่อว่าสังคมมันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัย บาบิโลน กรีก โรมัน ไบเซนไทน์ ฯลฯ
ทุกคนต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง บางคนก็จบไม่ดี บางคนก็จบดี แต่สิ่งที่เหมือนกันมาตลอดทุกยุคทุกสมัยคือครอบครัว แต่ละครอบครัวจะวางพื้นฐานให้ลูกของตัวเองมีภูมิคุ้มกันชีวิตในสังคมได้ดีแค่ไหนเพียงใดเท่านั้นเอง ....
ผมเชื่อว่าบรรดาขบถตัวน้อยทั้งหลาย จะผ่านชีวิตของตัวเองไปได้ ไม่ต่างกับคนยุคก่อนหน้า ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนที่รู้ทันโลกแล้วเอาเปรียบโลกด้วยการหลอกใช้คนอีกวัยที่ยังไม่ประสากับโลกใบนี้
ผมเชื่อว่าบรรดาขบถตัวน้อยทั้งหลาย จะผ่านชีวิตของตัวเองไปได้ ไม่ต่างกับคนยุคก่อนหน้า ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนที่รู้ทันโลกแล้วเอาเปรียบโลกด้วยการหลอกใช้คนอีกวัยที่ยังไม่ประสากับโลกใบนี้
คนพวกนี้บางคนถึงกับทำอย่างไรก็ได้ ให้กูรอดและรวย มีอำนาจวาสนาในสังคม และการเมือง ส่วนพวกมึงโง่เองก็หมดตัว หมดอนาคตตั้งแต่เด็กหรือติดคุกแทนกูกันไป ...
ผมอยากอวยพรให้คนรุ่นใหม่ทุกคนครับ...
"สู้ให้สุดตัว" ตามความคิดของตัวเอง และฉลาดพอ ที่จะเอาตัวรอดในสังคมให้ได้จนพ้นวัยขบถ !!!