บทความโดย : Pongprom Yamarat
เทียบกับยุคผมเป็นวัยรุ่น เดี๋ยวนี้มีคนไทยไป Shopping ตาม New York, Milan, London, Shanghai เยอะขึ้นมาก !!
หลายคนบอกว่า เมืองนอกดี ถนนดี มีตึกใหญ่ๆ มีสวนสวยๆ คนรายได้ดี ซื้อของแพงๆใช้กันได้เป็นปกติ อยากให้เมืองไทยเป็นแบบนี้บ้าง
ผมจะบอกว่า เมืองเค้าไม่ได้อยู่ๆเศรษฐกิจดีขึ้นเองครับ แต่เมืองเหล่านี้ มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือมีคนขยัน ทุกรุ่นทุกวัยมารวมตัวกันเยอะมาก ... ขอขีดเส้นใต้ตรงนี้ร้อยที !!!
ทำงานหลังจบโทแค่ 2-3 ปี น้องผมได้เงินเดือนเฉียด 5 แสนบาท สูงกว่าค่าเฉลี่ยคนที่นั่นบ้าง แต่คนจบมหาวิทยาลัยอันดับดีพอใช้ขึ้นไป ถ้าเข้าบริษัทดีได้ก็เงินเดือนแบบนี้เป็นปกติ
พวกจบ Law หรือ Finance จาก Harvard หรือ Brown ได้เยอะกว่านี้อีก แต่ ... เรียนหนัก เก่ง และทำงานหนัก ก็สมควรได้เงินเดือนระดับแสน 2 แสน 5 แสน หรือ 1 ล้านบาท
ญาติอีกคนเรียนเด่นน้อยกว่า จบมาพักนึงก็เงินเดือนเฉียด 2 แสนบาท (หายไปกับภาษี และค่าเช่าบ้านเยอะสุด เหลือใช้จริง 1 แสนบาทต่อเดือน)
ดังนั้น การซื้อของแบรนด์เนมจึงเป็นเรื่องปกติ ... มองแค่นี้ก็จะบอกว่า โอ้โห ประเทศเค้าดีจัง
แต่มาดูรายละเอียดกันครับ ...
พนักงานตามบริษัทกลาง-ใหญ่ใน London, Singapore, New York, Frankfurt, Shanghai, Tokyo เค้าทำงานกันยังไง ?
น้องผมตื่นตี 5 ตรง เพื่อเข้ายิม 1 ชั่วโมงทุกวัน มันเป็นค่านิยมคนที่นั่นแบบ “ปลุกพลังในตัวคุณ” คนตื่นสายคือแปลก แม้แต่ร้านอาหารแพงๆ รายได้สูงๆ นั่นตื่นตี 3 ครึ่ง เพื่อลุกขึ้นมาหาวัตถุดิบ “ที่ดีที่สุด” แล้วทำงานถึง 4 ทุ่ม เพื่อลูกค้าคนสุดท้ายให้ได้ “ประสบการณ์ที่ดีที่สุด”
กลับมาที่เรื่องน้องผม ...
หลังเสร็จจากยิม น้องผมเข้างาน 8 โมงตรง ประชุมสรุปงาน ทุกคนต้องตอบว่า "ได้" ห้ามมีคำว่า “เดี๋ยวลองดู” “เดี๋ยวหา” “เดี๋ยวทำ” ... เพราะเค้ามองว่านั่นคือหน้าที่คุณ คุณต้องเตรียมตัวมาแล้ว
สรุปงานไม่เกิน 30 นาที นานกว่านั้นแปลว่าไม่ productive
จากนั้นลุยงานถึงเที่ยง ระหว่างนั้นไม่มีการหยิบมือถือมาส่อง Facebook หรือคุย WhatsApp กับเพื่อน (ที่นั่นไม่ใช้ Line) หากงานเสร็จทัน ก็ลงมาทานข้าว โดยที่ 13.00 น. ต้องกลับถึงประตูที่ทำงาน หากงานไม่เสร็จ ก็เร่งให้เสร็จ แล้วลงมาบ่าย 2 หิ้ว sandwich กลับไปทำต่อ
งานจะเสร็จราวๆ 2 ทุ่ม 60% ของทุกวัน และจะเสร็จราวๆ 3-4 ทุ่มใน 40% ของที่เหลือ จากนั้นถึงจะเอามือไถ Facebook หรือ IG ได้
ใครโผล่ใน social media ก่อนนั้น บริษัทไม่ไล่ออกหรอกครับ แต่สังคมจะตั้งคำถามว่า
“ มีงเอาเปรียบการทำงานพวกกูเหรอ? ”
นั่นถึงเป็นเหตุผลว่า ถ้าใครดูสถิติการใช้ Facebook ในประเทศที่เจริญแล้ว เค้าใช้ social media ต่อทั้งวันไม่เกิน 40 นาที นั่นคืออย่างมาก !!!
เพราะเค้าต้องทำงาน ไม่ได้ว่างบ่น ว่างเม้า ...
น้องผมทำงานไป 3 ปี ได้ bonus แบบเต็มๆประมาณ 4-5 ล้านบาท
อันนี้คือเฉลี่ยรายได้คน New York ที่คนไทยมักเห็นแค่ว่า
ทำไมชีวิตเขาดี ? ทำไมเขาซื้อของแบรนด์เนมได้ ทำไมถนนหนทางเค้าดี
อ้าว ก็เพราะทำงานหนัก รายได้ดี จ่ายภาษีเยอะ ไง ง่ายๆแค่นั้น ...
คนจนใน New York ก็เยอะครับ
ไม่ขยัน ไม่เรียนดี ไม่ทำงานหนัก ก็ยากจน
ตาม subway ก็เห็นตั้งมากมาย
เหมือนออสเตรเลีย ที่วันลาเพียบ ลาไปเที่ยวได้อีก
แต่ต้องทำงานตามที่ตกลง แถมโดนเก็บภาษี 40%
นายน้องผมอายุ 40 ต้นๆเอง .. ตอนนี้ Bonus ปีละ 30-50 ล้านบาทนะครับ
"นั่งรถไฟไปทำงาน" แต่มี Porsche เอาไว้ขับเสาร์-อาทิตย์
เมืองเหล่านี้คนทำงานหนักครับ ... จันทร์-ศุกร์คือวันละ 10-12 ชั่วโมงแบบโคตร focus และ productive งานไม่เสร็จก็เข้าเสาร์ ระดับบริหารโดนวันเสาร์หมด เช่น ประชุมนโยบายนอกสถานที่ที่ต้องเดินทางไปอีกเมือง
น้องผมเคยมาทำงานเมืองไทย 1 ปี
น้องบอกว่า คนไทยทำงานกันสบายมาก ที่บ่นว่าหนัก นั่นไม่ได้ 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 10 ของคนเมืองนอกเลย หรือหนักกาย แต่ไม่ productive นั่นก็ไม่ถือว่าหนัก
ผมมักจะบอกน้องรุ่นใหม่ๆว่า
เห็นชีวิตหรูๆแพงๆใน London, New York, Shanghai, Singapore, Frankfurt แล้ว
ก็ต้องเข้าใจให้ได้ด้วยว่าคุณภาพชีวิตที่ดี และความเจริญมันไม่ได้มาฟรีๆ
ทุกคนต้องช่วยกันทำงานหนัก
จะงานตัวเอง
จะช่วยสังคม
จะนักการเงิน
ชาว Startup
หรือศิลปินเก่งๆ
หนักกันหมด ....
ไม่งั้นจะเอาเงินจากไหน ?
ไม่งั้นจะหาภาษีมาทำเมืองให้ดีจากไหน ?
กู้เงินมาทำถนนเรียบๆเหรอ? 55555
ตั้งแต่ New York, London หรือกรุง Seoul ประเทศเกาหลี
ล้วนแล้วแต่เกิดจากคำที่ว่า ...
อยากพัฒนา ก็ต้องเหนื่อย
แต่ถ้าอยากสบาย อันนี้ไม่ผิด แต่อย่าหวังว่าชีวิต และสิ่งรอบตัวจะพัฒนาขึ้น