ต้องออกตัวก่อนเลยว่า พรรคการเมืองนี้ แอดมิน ก็แอบเชียร์อยู่ แต่พอเห็นป้ายหาเสียง นโยบายนี้ออกมา เกลื่อนเต็มถนนไปหมด แอดมินก็รู้สึกไม่สบาย เนื่องด้วยเป็นนโยบายที่คลุมเคลือ กำกวม และมีการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดอย่างมาก ....โดยเฉพาะ "แบล็กลิสต์" บูโร ??

ที่มา จากประเด็นเรื่องนี้
บริษัทเครดิตบูโร มี Credit Score มานานหลายปีแล้วค่ะ นโยบายนี้ มัน too late มากๆ
ตอนแรกว่าจะโพสต์พรุ่งนี้ แต่อดใจไม่ได้ เพราะในคลิป มีการให้ข้อมูลผิดพลาดเต็มไปหมด เข้าประเด็นเลยละกันค่ะ
1. Credit score ไม่ใช่เรื่องใหม่ และบริษัทเครดิตบูโร เค้ามีมานานแล้ว
2. สถาบันการเงินไม่ได้ส่งข้อมูลการชำระหนี้ และการเป็นหนี้ของลูกค้าที่มีการค้างชำระหนี้เท่านั้นค่ะ มันไม่มีระบบแบล็คลิสต์ มันเป็นการส่งข้อมูล facts คุณจะจ่ายงวดตรงเวลาหรือจ่ายไม่ตรง สถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกบริษัทเครดิตบูโรตามกฏหมาย มีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลให้บริษัทเครดิตบูโรตามกฏหมายค่ะ และการรายงานข้อมูล fact แบบนี้ ทำกันทั่วโลกค่ะ
3. การเสนอว่า จะไม่ให้สถาบันการเงิน ที่เป็นสมาชิกของบริษัทเครดิตบูโรตามกฏหมาย ได้รับข้อมูลพฤติกรรมการชำระหนี้ของลูกค้าเลย โดยจะให้สถาบันการเงินได้ไปแต่คะแนนที่คำนวณมาจาก การคำนวณปนๆ หลายสิ่งอย่างเท่านั้น ... แล้ว ....
- สถาบันการเงิน ทั้งหลายจะรู้ยอดหนี้คงค้างรวมทั้งหมดของคนขอกู้ภายในระบบการเงินไทยได้ยังไร ??
- สถาบันการเงิน จะเตรียมตัวรับมือได้ยังไง เมื่อลูกหนี้เริ่มไปค้างชำระที่สถาบันการเงินอื่น และตัวเองอาจจะกลายเป็นรายต่อไปที่ไม่ได้เงิน
.. ถ้าแก้ กฏหมาย เป็นแบบที่เสนอตามนโยบายนี้จริง
สิ่งที่จะเกิดตามมา คือ คนจะไปขอกู้หลายสถาบันซ้อนๆ กันเยอะขึ้น เพราะแต่ละ สถาบันไม่รู้ภาระหนี้ที่มีอยู่ของลูกค้ารายนี้ !!! และอาจส่งผลให้ สถาบันการเงินก็จะไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เพราะไม่รู้ว่าคนที่มาขอกู้ไปค้างหนี้ที่อื่นไว้เท่าไหร่ ??!!!
สิ่งที่เสนอปรับแก้กฏหมายมานั้น จะทำให้เกิดปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่า Asymmetric Information ค่ะ โดยหลักแล้ว Asymmetric Information* จะก่อให้เกิด Market failure หรือความล้มเหลวของตลาดค่ะ
4. ทุกสถาบันการเงิน เค้ามี Credit Scoring Model ของตัวเค้าเองมากันหลาย 10 ปีแล้วค่ะ !!!

1. แบบที่ใช้ข้อมูลการชำระหนี้ และการเป็นหนี้ในอดีต เพื่อบอกถึงพฤติกรรมเสี่ยง
เพราะมีสมมติฐานว่าถ้าคนๆ หนึ่ง มีพฤติกรรมอย่างไรในอดีต ก็มี "โอกาส" ที่จะมีพฤติกรรมแบบเดียวกันในอนาคต ? อันนี้คือแบบที่ บริษัทเครดิตบูโรคำนวณอยู่ และสถาบันการเงินทั้งหลายก็สามารถซื้อข้อมูล credit score นี้ได้
Score แบบนี้ของเครดิตบูโร ไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลพฤติกรรมบนกิจกรรมชีวิตอื่นของคนหรือธุรกิจนั้น เช่น น้ำไฟ รายได้ อะไรอื่นมาประกอบ ... เพราะเป็นการใช้ข้อมูลเครดิตของแต่ละคนที่มีสินเชื่อหรือบัตรเครดิตที่มีอยู่ทั้งหมดในระบบการเงินไทยในการคำนวณ เรียกว่ามี full credit information
2. แบบที่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมการชำระหนี้และยอดหนี้ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ
Score แบบนี้ของเครดิตบูโร ไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลพฤติกรรมบนกิจกรรมชีวิตอื่นของคนหรือธุรกิจนั้น เช่น น้ำไฟ รายได้ อะไรอื่นมาประกอบ ... เพราะเป็นการใช้ข้อมูลเครดิตของแต่ละคนที่มีสินเชื่อหรือบัตรเครดิตที่มีอยู่ทั้งหมดในระบบการเงินไทยในการคำนวณ เรียกว่ามี full credit information
2. แบบที่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมการชำระหนี้และยอดหนี้ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ
เช่น รายได้ transaction อื่นๆ มาประกอบเพื่อทำนายโอกาสผิดนัดชำระหนี้จากความสามารถในการชำระหนี้ อันนี้เป็นการทำ credit scoring/rating ขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ที่ไม่ได้มีฐานข้อมูลระดับชาติ
... ที่ต้องใช้ข้อมูลปัจจัยอื่น ก็เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำนาย ไม่ใช่เพื่อเป็นการปรับให้ credit score ดูบวก หรือดูดีขึ้น ....นั่นเพราะว่า ไม่ได้มีข้อมูลหนี้ และการชำระหนี้ของคนๆ นั้นที่มีอยู่ในระบบการเงินไทยทั้งหมด มันยังมีอะไรที่ต้องทาย ต้องเดา ก็เอาปัจจัยอื่นมาช่วยทาย ช่วยเดา และในปัจจุบัน credit score ของบริษัทเครดิตบูโร เค้าก็ไม่ได้ใช้แค่ข้อมูลหนี้และการชำระหนี้นะคะ เค้าใช้ข้อมูลประเภทอื่นด้วยเพื่อประเมินความเสี่ยงของธุรกิจ ...
เพราะฉะนั้นที่เสนอปรับแก้มาในคลิป มันช้าไปแล้วค่ะ เค้าทำกันไปหมดแล้ว
และ เรื่องแบล็คลิสต์ เพียงเพราะผิดนัดชำระหนี้ครั้งเดียว มันไม่น่าจะเป็นเกณฑ์ที่เกี่ยวอะไรกับเครดิตบูโรค่ะ ไม่งั้นสถาบันการเงินทั้งหลายคงไม่เหลือคนให้ปล่อยกู้ได้แล้วค่ะ ...
โดยทั่วไป การจะปล่อยสินเชื่อให้คนที่เคยมีหนี้ค้างชำระหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยง และการกำหนดระดับความเสี่ยงที่รับได้ของเหล่าสถาบันการเงินทั่วโลก ... เค้าเรียกว่า risk management ค่ะ ใครอื่นจะออกกฏบังคับให้ปล่อยหรือไม่ปล่อยสินเชื่อกลุ่มเสี่ยงได้คะ ?
ก่อนเสนอ ควรศึกษาข้อมูลเชิงลึก หรือมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องในปัจจุบัน เพื่อให้รู้สิ่งที่เป็นไปในปัจจุบัน เพื่อจะได้นำเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคต ไม่ใช่เพื่ออดีตที่ผ่านมาแล้ว
#เศรษฐศาสตร์วันละนิด
ที่มาของรูปและประเด็นในโพสต์นี้
เขียนโดย ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
"...เครดิตบูโรไม่มีแบล็คลิสต์ มีแต่ข้อมูลการผิดนัดชำระหนี้ซึ่งไม่สามารถยกเลิกได้ เพราะจะทำให้ระบบสถาบันการเงินของไทย กลับไปเน้นแต่หลักประกัน..."
เมื่อวันที่ 15 ม.ค.66 นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า แถลงนโยบายว่า มีคนไทยติดแบล็กลิสต์เครดิตบูโร กว่า 5.5 ล้านคน ทำให้กู้ในระบบไม่ได้ ต้องไปกู้นอกระบบแทนพรรคชาติพัฒนากล้า จึงเสนอนโยบาย ยกเลิกแบล็กลิสต์ แล้วใช้ระบบ Credit Score แทน ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ข้อมูลในการชำระหนี้ประจำวันต่างๆ มาเป็นเกณฑ์ตัดสิน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์มือถือ ใครมีประวัติดีก็ได้เครดิตดี สามารถกู้ได้มาก ใครเครดิตไม่ดีก็กู้ได้น้อย ซึ่งเป็นระบบที่ทันสมัยและตอบโจทย์มากกว่าการติดแบล็กลิสต์
อ่านต่อ >> https://www.isranews.org/article/isranews-article/115356-isranews-115.html
ความรู้เพิ่มเติม
ทฤษฎี Asymmetrical Information*
ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีของ จอร์จ อะเคอร์ลอฟ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออธิบายว่า ทำไมตลาดที่ขายรถมือสองถึงเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวของตลาด (Market Failure) – ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือ กลไกการซื้อขายในตลาดมันพังนั่นเอง
อะเคอร์ลอฟบอกว่า ในตลาดรถมือสองนั้นมีรถที่มีคุณภาพดีและรถคุณภาพไม่ดี โดยเขาเรียกรถคุณภาพดีว่า ‘พีช (Peach)’ ส่วนรถคุณภาพไม่ดีนั้นเขาเรียกว่า ‘มะนาว (Lemon)’
มีแต่คนขายเท่านั้นที่รู้ว่า รถของเขาเป็นรถ ‘พีช’ หรือ ‘มะนาว’
ส่วนคนซื้อนั้นไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะไขปริศนาได้เลยว่า รถคันไหนในตลาดเป็นรถพีช และคันไหนเป็นรถมะนาว และนี่ก็คือที่มาของ Asymmetrical Information ระหว่างคนซื้อและคนขาย
อ่านเรื่อง ทฤษฎี Asymmetrical Information ต่อที่นี่ >> https://thestandard.co/asymmetrical-information/