เกริ่นนำเรื่องราว ที่เรากำลังจะพูดถึง อย่างละเอียด กันก่อนนะครับ ....
วันที่ 25 ตุลาคม 2025 รัฐบาลจีน เริ่มบังคับใช้มาตรการใหม่ ที่กำหนดให้ครีเอเตอร์/อินฟลูเอนเซอร์ ที่จะเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับหัวข้อที่ถือว่าเป็น “เชิงวิชาชีพ/ละเอียดอ่อน” (Sensitive Topics) เช่น การแพทย์/สุขภาพ กฎหมาย การเงิน การศึกษา ฯลฯ) จะต้องมีและยืนยันหลักฐานว่า ได้รับวุฒิ/ใบอนุญาต/ประกาศนียบัตรที่เกี่ยวข้อง ก่อนจึงจะเผยแพร่ได้ รวมทั้งแพลตฟอร์มต้องตรวจสอบ ใส่ป้ายข้อมูลแหล่งที่มา และบางกรณี ยังมีข้อห้ามเกี่ยวกับการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพด้วย ....
โลกออนไลน์ของปี 2025 ถูกขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน ด้วย “ความน่าเชื่อถือ” และ “ความไว” ของข้อมูล — อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ให้ข้อมูล และผู้คัดสรรความน่าเชื่อถือ สำหรับผู้ติดตามนับล้านๆ คน แต่เมื่อคำแนะนำเรื่องสุขภาพ , การลงทุน หรือกฎหมาย ถูกเผยแพร่โดยคนที่ไม่ได้ผ่านการศึกษา/ฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ ผลลัพธ์อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ความมั่งคั่ง หรือสิทธิ์ของผู้บริโภคได้ .... ตัวบทกฎหมายที่จีนประกาศบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2025 นี้ จึงพยายามตอบโจทย์การ “ยกระดับมาตรฐานความเชี่ยวชาญ” ของผู้พูดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ขยายขอบเขตการควบคุมเนื้อหาในโลกไซเบอร์อย่างเห็นได้ชัด
เรื่องนี้ มีผลต่อระบบนิเวศครีเอเตอร์ ที่มีมูลค่าหลายแสนล้านหยวน ของจีน และอาจเป็น ตัวอย่างโมเดล สำหรับประเทศอื่น ๆ ที่กำลังพิจารณากฎกติกาเพื่อจัดการข้อมูลเท็จออนไลน์ อีกด้วย ....
เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากนะครับ สำหรับประเทศไทย ที่มี อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ เต็มบ้านเต็มเมือง ใครๆ ก็เป็นได้ ไม่รู้เรื่องอะไร ก็สามารถพูดได้ พูดแบบผิดๆ อย่าว่าแต่ อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ เลยครับ ขนาด พิธีกร หรือผู้ดำเนินรายการข่าว ตามสถานีโทรทัศน์ ยังเอา ดารานักแสดง มาอ่านข่าว มาวิเคราะห์ข่าว และชี้นำสังคมแบบผิดๆ เพราะ ผู้จัดรายการ หรือ ผู้ดำเนินรายการ ดารานักแสดงเหล่านี้ ส่วนใหญ่ หรือเกือบจะทั้งหมด ไม่ได้ ผ่านการ อบรม ในแง่ จริยธรรม ในการเป็นผู้ประกาศข่าว ใดๆ เลย ....
กลับมาเรื่อง อินฟลูเอนเซอร์และครีเอเตอร์ กันต่อครับ
เรื่องนี้ มันมาประจวบเหมาะ กับเหตุการณ์ในประเทศไทย ที่กำลังเป็นที่ถกเถียง และสนใจ กันอย่างมาก ในประเด็นเรื่อง “นมไทย ไม่ใช่นมวัวแท้”
เมื่อ วู้ดดี้ หรือ นาย วุฒิธร มิลินทจินดา เจ้าของ ช่องยูทูป ชื่อ "@WoodyWorldChannel" ที่มีผู้ติดตาม 4.24 ล้านคน ได้ทำคลิปโปรโมต Woody อเวนเจอร์ โดยคลิปตัวอย่าง ถูกตัดตัวอย่างมาว่า
" นมในไทย ส่วนมากไม่ใช่นมแท้ มันคือนมผง ผสมนั่น ....." ซึ่งคำพูดในคลิปตัวอย่างของทางรายการ "Woody อเวนเจอร์" ในประเด็นเกี่ยวกับ "นมไทย" นี้ ได้ทำให้เกิดความ ตื่นตระหนก ในกลุ่มของผู้บริโภค เกี่ยวกับคุณภาพของนมไทย ซึ่งในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ได้มีการแชร์คลิปของทางรายการมาวิพากษ์ วิจารณ์กันเป็นจำนวนมาก โดยมีชาวเน็ต นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญรุมจวก และประนาม คลิปนี้เนื่องจากเป็นการ "ด้อยค่านมไทย" เป็นอย่างมาก พร้อมทั้งบอกอีกว่า การพูดดังกล่าว ไม่ใช่การตั้งคำถามแต่เป็นการ “ชี้นำ” และให้ข้อมูลเพียงด้านเดียวเท่านั้น ...
จนล่าสุด วู้ดดี้ ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งลบคลิปโปรโมทออกไปแล้ว
จนล่าสุด วู้ดดี้ ก็ได้ออกมาชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าว พร้อมทั้งลบคลิปโปรโมทออกไปแล้ว
แอดจะไม่เอาเนื้อหาทั้งหมดมาลงนะครับ มันจะยาวเกินไป แนะนำให้ไปอ่านเรื่องนี้ อย่างละเอียดที่นี่
((( อ่านข่าว และเรื่องราวนี้ ฉบับเต็ม https://www.naewna.com/entertain/926545 )
🔑 สาระสำคัญของกฎหมาย นี้ : ใครต้องมีคุณวุฒิ ?
สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (Cyberspace Administration of China - CAC) คือหน่วยงานหลักที่อยู่เบื้องหลังกฎระเบียบนี้ โดยมีจุดมุ่งหมายหลักคือการลดการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนและคำแนะนำที่เป็นอันตรายต่อสาธารณชน
1. สาขาวิชาชีพที่ถูกควบคุม
กฎหมายกำหนดให้ผู้สร้างเนื้อหาต้องมีคุณสมบัติที่เกี่ยวข้อง หากต้องการพูดถึงหัวข้อต่อไปนี้:
- 💊 การแพทย์และสุขภาพ (Medicine and Health) : ครอบคลุมถึงคำแนะนำทางการแพทย์, การวินิจฉัยโรค, และการรักษา
- ⚖️ กฎหมาย (Law) : ครอบคลุมถึงการให้คำปรึกษาทางกฎหมายหรือการตีความกฎหมาย
- 💰 การเงิน (Finance) : ครอบคลุมถึงคำแนะนำด้านการลงทุน, การวางแผนทางการเงิน, และการวิเคราะห์ตลาดหลักทรัพย์
- 📚 การศึกษา (Education) : ครอบคลุมถึงการให้คำแนะนำทางวิชาการ หรือการฝึกอบรมเฉพาะทาง
กล่าวคือ อินฟลูเอนเซอร์ที่เคยให้คำแนะนำด้านการลงทุน โดยไม่มีใบอนุญาต หรือพูดถึงการรักษาโรค โดยไม่มีวุฒิการแพทย์ จะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อีกต่อไป ภายใต้กฎระเบียบใหม่ !!!
บทสรุป จากความวุ่นวายสู่ความเป็นระเบียบ นี้
ข้อบังคับการแสดงวุฒิการศึกษาสำหรับอินฟลูเอนเซอร์ในสาขาวิชาชีพของจีน ที่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจังตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา เป็นเหมือน เครื่องหมายสำคัญของยุคใหม่แห่งการกำกับดูแลโลกออนไลน์ นี่ไม่ใช่เพียงแค่การออกกฎหมาย แต่เป็นการส่งสัญญาณว่า เศรษฐกิจดิจิทัลของจีน กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยที่ “มีความรับผิดชอบ”
แม้ว่า ...... อาจมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเข้มงวด แต่ในมุมมองของรัฐบาล และผู้บริโภคจำนวนมาก นี่คือหนทางจำเป็น ที่จะปกป้องสังคมจากข้อมูลปลอม และสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ปลอดภัย และน่าเชื่อถือมากขึ้น
สำหรับอินฟลูเอนเซอร์แล้ว นี่คือจุดเปลี่ยนที่ท้าทายให้พวกเขาต้องพัฒนาตนเองจาก “ผู้มีอิทธิพล” (Influencer) สู่ “ผู้มีอิทธิพลที่มีความเชี่ยวชาญ” (Expert-Influencer) ซึ่งในท้ายที่สุด อาจนำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมที่ยั่งยืนและมีคุณภาพสูงขึ้นได้อย่างแท้จริง ....
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็น่าจะมีการตั้งคำถามขึ้นมาแล้วล่ะครับว่า .....
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประเทศไทย ....ควรจะมีการควบคุม — อินฟลูเอนเซอร์ และครีเอเตอร์ และ ผู้ดำเนินรายการ ควรมีใบอนุญาต .... ?
“ถ้าไทยมีกฎหมาย นี้แบบจีน...?”
ประเทศไทยในปัจจุบัน มีประชากรกว่า 57 ล้านบัญชีโซเชียลมีเดีย (ข้อมูลปี 2025) และกว่า 8 ล้านบัญชีอยู่ในหมวด “ครีเอเตอร์/อินฟลูเอนเซอร์” ในระดับใดระดับหนึ่ง ตั้งแต่ YouTuber, TikToker, ไปจนถึงเพจ Facebook และ Line VOOM ที่ทำคอนเทนต์ให้คำแนะนำหรือรีวิวสินค้า ....
แต่ปัญหาที่ตามมาชัดเจน คือการแพร่กระจายของ ข้อมูลเท็จ (Misinformation) และ ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) โดยเฉพาะในหมวด
- สุขภาพ / โภชนาการ
- การเงิน / การลงทุน
- กฎหมาย / ภาษี
- จิตวิทยา / การพัฒนาเด็ก
ตัวอย่างใกล้ตัว ที่เห็นได้ชัดๆ เช่น ....
- อินฟลูเอนเซอร์สายสุขภาพโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโดยไม่มีข้อมูลวิจัยรองรับ
- “โค้ชการเงิน” ที่ให้คำแนะนำลงทุนคริปโตโดยไม่มีใบอนุญาตจาก ก.ล.ต.
- “นักพัฒนาเด็ก” ที่ให้คำแนะนำผิดหลักจิตวิทยา ทำให้ผู้ปกครองบางรายเข้าใจคลาดเคลื่อน
ดังนั้น หากพิจารณาจาก ปัญหาเชิงโครงสร้าง ของสังคมออนไลน์ ในประเทศไทยแล้ว แนวคิดแบบจีน ที่บังคับให้ผู้พูดต้องมี “วุฒิทางการศึกษา” หรือ “ใบอนุญาตวิชาชีพ” ก่อนโพสต์ — อาจดูมีเหตุผลในแง่ “การคุ้มครองผู้บริโภค”
แต่ ....
ถ้าจะเอากฎหมายทั้งหมด มาบังคับใช้ในไทย จริง... จะกระทบเสรีภาพในการพูดมากแค่ไหน?
ในสังคมไทย เสรีภาพในการแสดงความเห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่คุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญ มาตรา 34 วรรคหนึ่ง
“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์...”
หากประเทศไทยออกกฎหมายในลักษณะเดียวกับจีน โดยระบุว่า “ห้ามบุคคลโพสต์เนื้อหาวิชาชีพโดยไม่มีวุฒิหรือใบอนุญาต” อาจเกิด ปัญหาขอบเขตของคำว่า “เนื้อหาวิชาชีพ” ที่ตีความได้กว้าง เช่น
“การพูดเรื่องสุขภาพทั่วไป” .... จะถือเป็นเนื้อหาวิชาชีพแพทย์หรือไม่ ?
“การพูดเรื่องการใช้เงินออม” ..... ต้องมีใบอนุญาตผู้วางแผนการเงินหรือไม่ ?
“การพูดเรื่องสิทธิมนุษยชน” .... ต้องมีวุฒินิติศาสตร์หรือไม่?
ซึ่งหากนิยามกฎหมายไม่ชัดเจน กฎหมายลักษณะนี้อาจ เปิดช่องให้รัฐตีความ เพื่อควบคุมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือการแสดงความเห็นเชิงนโยบายได้ง่าย นั่นหมายความว่า “ถ้าใช้โดยไม่มีหลักการตรวจสอบที่โปร่งใส” — ไทยอาจได้ระบบที่ คุมเสียงประชาชนมากกว่าคุมข่าวปลอม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายประเทศตะวันตกมองว่าเป็นความเสี่ยงของโมเดลจีน .... แย่หนักเข้าไปอีก .... หว้าาา
ถ้าจะเอากฎหมายทั้งหมด มาบังคับใช้ในไทย จริง... จะกระทบเสรีภาพในการพูดมากแค่ไหน?
ในสังคมไทย เสรีภาพในการแสดงความเห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ที่คุ้มครองภายใต้รัฐธรรมนูญ มาตรา 34 วรรคหนึ่ง
“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์...”
หากประเทศไทยออกกฎหมายในลักษณะเดียวกับจีน โดยระบุว่า “ห้ามบุคคลโพสต์เนื้อหาวิชาชีพโดยไม่มีวุฒิหรือใบอนุญาต” อาจเกิด ปัญหาขอบเขตของคำว่า “เนื้อหาวิชาชีพ” ที่ตีความได้กว้าง เช่น
“การพูดเรื่องสุขภาพทั่วไป” .... จะถือเป็นเนื้อหาวิชาชีพแพทย์หรือไม่ ?
“การพูดเรื่องการใช้เงินออม” ..... ต้องมีใบอนุญาตผู้วางแผนการเงินหรือไม่ ?
“การพูดเรื่องสิทธิมนุษยชน” .... ต้องมีวุฒินิติศาสตร์หรือไม่?
ซึ่งหากนิยามกฎหมายไม่ชัดเจน กฎหมายลักษณะนี้อาจ เปิดช่องให้รัฐตีความ เพื่อควบคุมเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือการแสดงความเห็นเชิงนโยบายได้ง่าย นั่นหมายความว่า “ถ้าใช้โดยไม่มีหลักการตรวจสอบที่โปร่งใส” — ไทยอาจได้ระบบที่ คุมเสียงประชาชนมากกว่าคุมข่าวปลอม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายประเทศตะวันตกมองว่าเป็นความเสี่ยงของโมเดลจีน .... แย่หนักเข้าไปอีก .... หว้าาา
แล้วถ้านำ บางส่วน มาปรับใช้ ล่ะ ???
มีทางเลือกที่ดีกว่าการ “ห้ามพูด” หรือไม่ ?
แทนที่จะ “จำกัดสิทธิในการพูด” แบบที่จีนทำ ประเทศไทย อาจเลือกทางสายกลาง เช่น
มีทางเลือกที่ดีกว่าการ “ห้ามพูด” หรือไม่ ?
แทนที่จะ “จำกัดสิทธิในการพูด” แบบที่จีนทำ ประเทศไทย อาจเลือกทางสายกลาง เช่น
- ระบบยืนยันผู้เชี่ยวชาญสมัครใจ (Voluntary Verification System) ให้แพลตฟอร์มติด “ป้ายยืนยันวุฒิ” สำหรับครีเอเตอร์ที่ส่งเอกสารมาได้จริง เช่น “Verified Doctor” / “Certified Lawyer” แทนที่จะบังคับห้ามผู้ไม่มีวุฒิพูด
- ระบบเปิดเผยแหล่งอ้างอิง (Citation Transparency) ให้ผู้พูดที่ให้คำแนะนำเชิงวิชาชีพ ต้องแสดงแหล่งข้อมูลอ้างอิง เช่น ลิงก์งานวิจัยหรือประกาศราชการ
- ปรับโทษการโฆษณาเกินจริงแทน เพิ่มโทษปรับหรือระงับบัญชีเฉพาะในกรณี “โฆษณาแฝงหรือให้ข้อมูลผิด” แทนการห้ามโพสต์ทั้งหมด
- สร้างสถาบันกลาง “ศูนย์ตรวจสอบคอนเทนต์ออนไลน์” (Content Accountability Center) ทำงานร่วมระหว่างรัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัย เพื่อวิเคราะห์และเตือนประชาชน โดยไม่ต้องปิดกั้นเสรีภาพ
เหล่านี้ คือ ตัวอย่าง ที่ “พอจะทำได้” และไม่น่าจะกระทบกับเสรีภาพ มากเกินไป .... (หรือเปล่า )
ดังที่ นักวิเคราะห์ของ Reuters Institute และ Harvard Kennedy School เคยเสนอว่า ...
“รัฐบาลไม่ควรควบคุมว่าใครพูดได้ แต่ควรสร้างระบบที่ช่วยให้ประชาชนรู้ว่าใครพูดจริง”
ซึ่งแนวคิดนี้ สะท้อนถึง Digital Literacy (ความรู้เท่าทันสื่อ) ที่หลายประเทศใช้ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ที่มุ่ง “ให้เครื่องมือแก่ประชาชนในการแยกแยะข้อมูล” มากกว่าการ “จำกัดผู้พูด” ...
บทสรุป คือ ไทยควร “นำแนวคิดบางส่วน”
ไม่ใช่ “ก๊อบกฎหมายทั้งฉบับ”
จริงอยู่ .... กฎหมายแบบจีนมีข้อดี คือ ลดข้อมูลเท็จอย่างเป็นระบบ แต่ข้อเสียคือ จำกัดเสรีภาพและความหลากหลายทางความคิด แต่ สำหรับประเทศไทย ทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดคือ
“ใช้หลักความรับผิดชอบ (Accountability) มากกว่าการควบคุม (Control)”
กล่าวคือ — ส่งเสริมให้ผู้เชี่ยวชาญออกมาทำคอนเทนต์มากขึ้น สร้างระบบยืนยันวุฒิอย่างสมัครใจและลงโทษเฉพาะกรณีที่ “หลอกลวง” หรือ “ให้ข้อมูลผิดโดยเจตนา”
สิ่งนี้ จะทำให้ไทยได้ทั้ง “ความปลอดภัยของข้อมูล” และ “เสรีภาพในการสื่อสาร” ไปพร้อมกัน
น่าจะ win win
--- เหล่านี้ จะเกิดขึ้นมั้ย หรือเราต้องมาทนนั่งฟัง ดารานักแสดง ที่ไม่ได้มีความรู้เรื่องอะไร มาอ่านข่าวการเมือง ชี้นำความเชื่อผิดๆ แปลกๆ ในคราบของผู้ดำเนินรายการ หรือ อินฟลูเอนเซอร์” กันต่อไป.....
📄 แหล่งข้อมูล อ้างอิงระดับทางการและสื่อชั้นนำ
กฎระเบียบนี้ได้รับการประกาศและบังคับใช้โดย สำนักงานบริหารไซเบอร์สเปซแห่งประเทศจีน (Cyberspace Administration of China - CAC) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตหลักของประเทศ
หน่วยงานผู้ริเริ่มกฎหมาย: ชื่อหน่วยงาน: Cyberspace Administration of China (CAC) (จีน: 中央网络安全和信息化委员会办公室)
ประเภทของกฎหมาย: ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการจัดการเนื้อหาของผู้สร้างเนื้อหาบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (Regulations/Measures for the Management of Content Creators)
แหล่งอ้างอิงจากสื่อที่รายงานโดยตรง: สื่อข่าวสากลหลายแห่งรายงานข่าวนี้อย่างละเอียด โดยอ้างถึงแถลงการณ์ของ CAC และระบุถึงรายละเอียดกฎหมายที่สำคัญ
- · The Economic Times - ตุลาคม 2568 ยืนยันว่ากฎหมายมีผลตั้งแต่วันที่ 25 ตุลาคม 2568 โดยกำหนดให้ผู้สร้างเนื้อหาในหัวข้อ การเงิน สุขภาพ การแพทย์ กฎหมาย และการศึกษา ต้องมีวุฒิการศึกษา ใบอนุญาต หรือการรับรอง
- · Livemint -ตุลาคม 2568 ระบุว่ากฎนี้มาจาก CAC เพื่อต่อสู้กับข้อมูลที่ผิดพลาด และยังมีการสั่งห้ามโฆษณาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์/อาหารเสริมแบบแอบแฝง
- · WebProNews / Barlaman Today - ปลายเดือนตุลาคม 2568เน้นย้ำว่าแพลตฟอร์ม (Douyin, Weibo, Bilibili) ต้องรับผิดชอบในการตรวจสอบคุณสมบัติ (Verified degrees, certifications, or licenses )
- · POP! / The Debrief - ต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 ยืนยันการบังคับใช้เมื่อวันที่ 25 ต.ค. และระบุว่าต้องมีการเปิดเผยแหล่งที่มาของข้อมูล และการใช้ AI ในการสร้างเนื้อหา
อ้างอิง เพิ่มเติม
- Cyberspace Administration of China. (2025). Administrative Measures for Internet Information Service for Public Accounts (Draft).
- Reuters. (2025, March). China Tightens Rules on Influencers Giving Professional Advice.
- We Are Social & DataReportal. (2025). Digital 2025: Thailand Report.
- DAAT & Wisesight. (2024). Thailand Creator Economy Report.
- Anti-Fake News Center Thailand. (2024). รายงานสถานการณ์ข่าวปลอมในหมวดสุขภาพและการเงิน.
- Reuters Institute. (2023). The Infodemic Report.
- Harvard Kennedy School – Shorenstein Center. (2024). Influence and Accountability in the Creator Economy.
Tweet




.jpg)
