งานวิจัยนี้มีชื่อว่า Your Brain on ChatGPT
ทีมวิจัย ได้ทำการทดลองกับผู้เข้าร่วม 54 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
ทีมวิจัย ได้ทำการทดลองกับผู้เข้าร่วม 54 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มที่ใช้ ChatGPT (LLM group)
- กลุ่มที่ใช้ Search Engine (Search group)
- และกลุ่มที่ใช้สมองล้วน ๆ โดยไม่มีเครื่องมือช่วย (Brain-only group)
ผลการวิเคราะห์โดยใช้เครื่อง EEG ที่ใช้ตรวจจับการทำงานของสมอง พบว่า ...
- กลุ่มที่ใช้สมองล้วน ๆ มีการเชื่อมต่อของสมอง มากที่สุดและกว้างที่สุด
- ขณะที่กลุ่มที่ใช้ Search Engine มีการทำงานของสมองระดับปานกลาง
- และกลุ่มที่ใช้ ChatGPT แสดงการทำงานของสมองต่ำที่สุด
เมื่อถึงรอบที่ต้องเขียนเอง กลุ่มที่เคยใช้ ChatGPT แสดงสัญญาณของ “สมองไม่ตื่นตัว” และใช้ทรัพยากรทางปัญญาได้น้อยกว่ากลุ่มอื่นอย่างเห็นได้ชัด ....
ไม่เพียงแค่สมองทำงานน้อยลง ผู้เข้าร่วมในกลุ่ม ChatGPT ยังให้สัมภาษณ์หลังภารกิจว่า ....
พวกเขาจำสิ่งที่เขียนไปก่อนหน้านั้นได้ไม่มาก !??
และไม่รู้สึก มีความเป็นเจ้าของบทความที่ตนเองเขียนออกมาผ่าน AI ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม Search และ Brain-only ที่แสดงความผูกพันกับเนื้อหาที่ตนเองเขียนอย่างชัดเจน ....
**** นักวิจัยสรุปว่า ****
การใช้ AI อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบริบทของการเรียน อาจทำให้ผู้ใช้งาน สะสม “หนี้ทางปัญญา” (Cognitive debt) โดยไม่รู้ตัว ส่งผลต่อความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และจดจำในระยะยาว ....
แม้ว่า ChatGPT จะช่วยให้การเขียนดูง่าย และรวดเร็วขึ้น แต่ ก็อาจแลกมาด้วยการ "ลดทอนศักยภาพของสมอง" โดยไม่รู้ตัว !!!
แม้งานวิจัยชิ้นนี้จะไม่ใช่คำเตือนให้เลิกใช้ AI แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้อย่างมีสติและสมดุล หากเราใช้ AI เป็น “เครื่องมือ” เพื่อ "เสริม" ไม่ใช่ "แทนที่" กระบวนการคิดของมนุษย์ ก็อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย .... และยั่งยืนกว่าในโลกที่ปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต ....
ที่มาของบทความ ::: https://www.brainonllm.com/
"หนี้ทางปัญญา" (Cognitive Debt) เป็นแนวคิด ที่เปรียบเทียบ การพึ่งพาเครื่องมือภายนอก โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการทำงานด้านความคิด และการประมวลผลข้อมูล คล้ายกับการ "กู้ยืม" ความสามารถทางสติปัญญาจากภายนอก แทนที่จะใช้ความสามารถของสมองตัวเองอย่างเต็มที่ ...
แนวคิดนี้มาจากแนวคิด "หนี้ทางเทคนิค" (Technical Debt) ในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งหมายถึง การที่เราเลือกทางลัด ในการพัฒนาเพื่อเร่งงาน ให้เสร็จเร็วยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่ต้องกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงโค้ดในภายหลัง หากไม่ "ชำระหนี้" นี้ ก็จะสะสมปัญหาและทำให้งานในอนาคตยากขึ้น
ในทำนองเดียวกัน "หนี้ทางปัญญา" ก็มักจะเกิดขึ้นกับเราในด้าน ....
ในทำนองเดียวกัน "หนี้ทางปัญญา" ก็มักจะเกิดขึ้นกับเราในด้าน ....
- พึ่งพา AI ในการแก้ปัญหามากเกินไป
.... แทนที่จะใช้เวลาคิดวิเคราะห์ วางแผน หรือสร้างสรรค์ด้วยตัวเอง เรากลับให้ AI ทำหน้าที่เหล่านั้นให้ - ได้คำตอบ โดยที่ไม่เข้าใจกระบวนการ....
.... AI อาจให้คำตอบที่ถูกต้อง แต่เราไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดหรือทำความเข้าใจ ที่นำไปสู่คำตอบนั้นอย่างถ่องแท้ ... - ขาดการฝึกฝนทักษะการคิด ....
....... เมื่อสมองไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ในด้านการจดจำ การวิเคราะห์ การเชื่อมโยงข้อมูล หรือการสร้างสรรค์ ทักษะเหล่านั้นก็จะอ่อนแอลง
สมองจะคุ้นชินกับการ "ส่งต่อ" งานคิดไปให้ AI ทำให้ทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเองลดลง และอาจจะทำให้ความสามารถในการจดจำ แย่ลง , ขาดความคิดสร้างสรรค์ , ไม่มีความรู้สึกการเป็นเจ้าของผลงานทำให้เราไม่ผูกพัน และจดจำมากนัก และสมองจะเฉื่อยชาลง ...
"หนี้ทางปัญญา" เป็นการเตือนให้เราตระหนักถึงการใช้ AI อย่างมี "สติ" และ รักษา "สมดุล" AI เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ อย่างมาก แต่ ควรใช้ เพื่อ"เสริม"สร้างความสามารถของเรา ไม่ใช่ ใช้เพื่อ "ทดแทน" การใช้สมองของเราอย่างสิ้นเชิง
การ "ชำระหนี้ทางปัญญา" คือการฝึกฝนความคิดด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ แม้จะมี AI อยู่ก็ตาม เพื่อรักษาสมรรถนะทางสติปัญญาของเราไว้ในระยะยาว