บทความโดย : Kittipat Beat Chainuvati
แม้ไม่ตั้งข้อสังเกต
คุณก็จะรู้สึกได้ว่า..
คุณก็จะรู้สึกได้ว่า..
- จะเอาเข้าตัวข้างเดียว
- นัดแล้วไม่เป็นนัด
- ทิ้งงานกลางคัน
- ทำผิดไม่รู้สึกผิด ไม่ขอโทษ
- เห็นการทำหน้าทำตาหยิ่งยโสเป็นเรื่องเท่
- พูดหยาบคาย
- ทำท่าทีดูถูก ทั้งที่เพิ่งเจอกัน
- กล้าขอความช่วยเหลือจากคนแปลกหน้า แต่ไม่คิดให้ความช่วยเหลือแม้กับคนสนิท ฯลฯ
อันที่จริง คนส่วนใหญ่ยังดีๆ กันอยู่ แต่คุณก็ได้เห็นเรื่องน่าแปลกใจบ่อยขึ้นเรื่อยๆ ตามท้องถนน , ในร้านอาหาร , ในที่ทำงาน ทั้งจากคนรุ่นใหม่ และคนรุ่นเก่า ที่แสดงความเห็นแก่ตัว อย่างเหลือเชื่อ ชนิดไม่ลังเลใดๆเลย กับการ "เผย" ความไร้มารยาทซึ่งๆหน้า บางทีก็ในระดับที่คุณอยากเอามาบ่นให้เพื่อนฟังขำๆ แต่บางทีก็ในระดับที่คุณอยากมีเรื่องเดี๋ยวนั้น !!!
อาจจะเพราะ เราอยู่ในยุคของความด่วนได้
คือ ได้อะไรกันแบบด่วนๆ กันจนเคยชิน... อยากได้คำตอบ ก็หยิบมือถือขึ้นมาเสิร์ชกูเกิล ไม่ได้คำตอบจากกูเกิล ก็ตั้งกระทู้ถาม ขอความเห็นใจ อ้างว่าเรื่องใหญ่ เรื่องร้อน สำคัญมาก ต้องได้คำตอบตอนนี้ และเดี๋ยวนี้เลย ใครไม่ตอบคือ ใจร้าย ดูดาย น่าประณาม ประมาณนั้น
ความรู้สึกรอไม่ได้
ทนคอยอะไรนานๆ ไม่ไหว คิดเรียกร้องขอความช่วยเหลือก่อนช่วยตัวเอง นำไปสู่ความ เร่งร้อน ไร้มารยาท อาจเพราะเคยชินกับการได้อะไรทันใจมาแต่เด็ก ... โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่โตมากับความทันใจของมือถือ มือถือจึงไม่ใช่แค่เครื่องมือสื่อสารอีกต่อไป แต่เป็นอุปกรณ์สนองความอยากส่วนตัว ...
เทรนสมองให้สนใจเฉพาะเรื่องของตัวเอง... ได้อย่างใจตัวเอง และที่สำคัญ คือ ทันใจตัวเอง
เมื่อถึงยุคที่คนไร้มารยาทท่วมเมือง !!!
ใครอยากได้อะไร กวักมือใส่หน้าคนอื่นทันทีไม่พอใจใคร ก็โพล่งด่าทันใดกันไปหมด
โลกคงเหมือนเข้าสู่กลียุคที่น่ากลัว แต่วันนี้ยังไม่ขนาดนั้น ...
และคุณ ก็มีสิทธิ์ทำใจเลือกได้สองสามอย่าง เช่น ...
หนึ่ง ทนๆไป จนกว่าจะชินกับการเห็นเด็กรุ่นใหม่มารยาทแย่ลงเรื่อยๆ
( ส่วนตัวรอเกิดใหม่ในยุคที่ไม่มีมือถือ ที่ไม่มีเครื่องกระตุ้นความด่วนได้เหมือนยุคนี้คาดหวังว่าถึงยุคนั้น คนจะกลับไปมีมารยาทกันมากกว่านี้ )
สอง อยู่กับความมีมารยาทของตัวเอง ... แล้วถ่ายทอดมารยาทไปสู่รุ่นลูก เริ่มจากการป้องกันไม่ให้เขาสนใจตัวเอง จนตัดขาดจากความสนใจคนอื่นและโลกภายนอก เช่น เทรนลูกให้ชินกับการไหว้ผู้ใหญ่ เทรนให้ลูกพูดมีหางเสียง มีคำลงท้าย ค่ะ , คะ , ขา ครับ ... ตลอดจนเทรนให้ลูกรอจังหวะเป็น ไม่ใช่นึกอยากพูดก็โพล่งทันที ไม่สนใจว่าใครกำลังทำอะไรอยู่
นอกจากนั้น คุณยังต้องสร้างวินัย แบบที่ไม่มีพ่อแม่ยุคไหนเคยต้องทำมาก่อน นั่นคือ มีวินัยในการจำกัดเวลาเล่นมือถือของลูก ไม่ปล่อยให้เล่นพร่ำเพรื่อตามใจชอบ ... สัญญาณบอกว่า เขาจะโตขึ้นเป็นคนไร้มารยาท คือการใส่ใจแต่มือถือ ไม่สนในโลกภายนอก ขอให้มองว่า การใส่ใจแต่มือถือจนลืมโลกนั้น แท้จริงคือการ ‘เอาแต่ใจตัวเอง’ ยิ่งเอาแต่ใจหนักข้อขึ้นเท่าไร สามัญสำนึกเพื่อคนอื่น ก็ยิ่งต่ำเตี้ยลงเท่านั้น ...
ระหว่างเขาสั่งสมความมืด จากการเอาแต่ใจตัว เพิ่มขึ้นๆทีละน้อย
คุณจะยังไม่ค่อยรู้สึก เลยไม่ให้ความสำคัญ วันที่พอแก้ไขได้ ก็คิดว่าไม่เป็นไร ขี้เกียจเหนื่อย
แต่เมื่อไร เขาเอาแต่ใจตัวจน มืดบอด ไม่เหลือสามัญสำนึกปกติอยู่เลย เห็นมารยาทคือการดัดจริตโลกสวย คุณจะรู้สึกเสียใจรุนแรง เวลานั้นแม้อยากให้ความสำคัญ .... แม้อยากแก้ไข แม้ตระหนักแล้วว่าเป็นเรื่องร้ายแรง พร้อมจะยอมเหนื่อย พร้อมจะยอมออกแรงงัดข้อกับความมืดในใจลูก ก็จะได้พบว่าสายไป ทำอย่างไรก็เอาชนะไม่ไหว
คำว่า ‘สายเกินแก้’ ที่น่าเสียใจที่สุด ก็คือการที่ลูกโตขึ้น กลายเป็นคนไร้มารยาท แม้แต่กับพ่อแม่ตัวเองนั่นแหละ!