คู่มือการปลูกต้นไม้ยืนต้น ในพื้นที่แห้งแล้ง โดย อาจารย์ประภัทร ปริปุณณะ
"ฝนไม่ได้ตกมาจากฟ้า แต่มาจากผืนดิน""มีน้ำที่เรามองเห็นได้และน้ำที่เรามองไม่เห็น"
... ครั้งนั้นศูนย์เทคโนโลยีเพื่อสังคมและนิเวศวิทยา ได้จัดพิมพ์เป็นคู่มือเล็กๆ แจกจ่ายแก่ชาวบ้านในปีเดียวกัน นิเวศเกษตรนำคู่มือซึ่งพิมพ์ง่ายๆ มาเพิ่มสีสัน เพื่อให้น่าอ่าน ร่วมสมัยขึ้น ดังความรู้ที่ท่านได้เผยแพร่เมื่อกว่า ๓ ทศวรรษแล้ว แต่ยังสามารใช้ประโยชน์ได้ แม้ในเวลานี้
ขอน้อมคารวะ "อาจารย์ประภัทร ปริปุณณะ" อีกครั้ง สำหรับความรู้อันมีคุณค่ายิ่งนี้
--- เรียบเรียงโดย : fb/ นิเวศเกษตร Biodiversity and Agroecology
นิเวศเกษตร ขอนำเนื้อหาจากคู่มือ "การปลูกไม้ยืนต้นในพื้นที่แห้งแล้ง" ซึ่งพิมพ์เผยแพร่เมื่อปี 2532 โดย "ศูนย์เทคโนโลยีเพื่อสังคมและนิเวศวิทยา" มาเผยแพร่อีกครั้ง ซึ่งนอกเหนือจากจะนำใช้สำหรับการปลูกไม้ยืนต้นแล้ว ยังสามารถปรับใช้สำหรับการปลูกพืชชนิดอื่นๆก็ได้ ตามเจตนารมณ์ของอาจารย์ที่มุ่งหวังเผยแพร่ความรู้เพื่อประโยชน์สาธารณะและพัฒนาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้ขยายและงอกงามต่อๆไป
"ฝนไม่ได้ตกมาจากฟ้า แต่มาจากผืนดิน"
"มีน้ำที่เรามองเห็นได้และน้ำที่เรามองไม่เห็น"
น้ำที่เรามองไม่เห็น คือ "ความชื้น" ทั้งที่อยู่ในดิน และในอากาศ
การปลูกพืชในที่ดินแห้งแล้ง จึงต้องให้ความสำคัญในการบริหารจัดการน้ำ ในรูปแบบดังจะกล่าว โดยสรุปจากประสบการณ์ได้ ๑๔ แนวทาง
หลักการข้อนี้สำคัญที่สุด คือ การปรับปรุงดินในหลุมปลูกไว้ล่วงหน้าก่อน ลงมือปลูกเป็นเดือน ๆ หรือหลายเดือน เพ่งเล็งให้หลุมปลูกมีอินทรีย์วัตถุสูง ซึ่งจะช่วยทำให้ดินสามารถอุ้มน้ำไว้ในตัวเองได้สูงในการปลูกไม้ยืนต้น ผมได้ขุดหลุมขนาด 60x60x60 เซนติเมตร เอาหน้าดินส่วนบน (ดินชั้นบน) กองไว้ ขุดดินชั้นล่างสาดทิ้งไป
ใช้หญ้าแห้ง 1 ปี๊บใส่ก้นหลุม ใส่ปุ๋ยคอก 1 ปี๊บทับบนหญ้าแห้งแล้วเอาดินชั้นบนทับลงไป พูดดินขึ้นเป็นรูปทรงแหลมสูงคล้าย ๆจอมปลวก ทิ้งไว้สัก 2-3 เดือน หญ้าแห้งและปุ๋ยคอกจะสลายตัวพร้อมที่จะเป็นอาหารของพืชได้
... ก่อนปลูก ... ใช้จอบพรวนดินคลุกดินให้เข้ากัน รดน้ำก่อนลงมือปลูก วันละครึ่งปี๊บติดกัน 2 วัน เพื่อให้หลุมมีความชุ่มชื้นสูงพอเหมาะ
... วันปลูก .... รดน้ำเพียงพอเล็กน้อยก็พอ ถ้าให้น้ำวันปลูกมากเกินไปต้นอ่อนจะสำลักน้ำและรากเน่าเปื่อย
การปลูกต้นไม้อ่อน เปรียบเสมือนคนเลี้ยงลูก แต่ต้องมีน้ำนมเตรียมไว้ให้ลูก พืชเป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนคนจึงต้องการอาหาร ต้องการบำรุงรักษาและทะนุถนอมเช่นเดียวกัน การเริ่มต้นที่ถูกต้องเท่ากับเห็นผลสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง
2. การบังไพรให้ต้นอ่อน
ป้องกันแสงแดดตอนบ่ายในเดือนแรก ให้กล้าไม้ ได้รับแสงแดดตอนเช้าวันละ 3-4 ชั่วโมงก็พอ ต่อไปจึงเพิ่มแสงแดดให้มากขึ้น วัสดุที่ใช้บังไพรได้ดีเช่นทางมะพร้าว เป็นต้น
3. การคลุมโคนต้น
เมื่อกล้าไม้ อายุได้ประมาณ 2-3 เดือน ใช้กิ่งไม้ ใบกล้วยแห้ง หญ้า ฟาง หรือวัสดุอื่น ๆ ที่ย่อยสลายได้คลุมโคนต้นโดยรอบ คลุมให้ห่างจากต้นประมาณหนึ่งฟุตให้หนาพอที่จะป้องกันแสงแดด และลมโกรกผิวหน้าดิน เป็นการลดการระเหยของน้ำ ควบคุมวัชพืช และได้อินทรีย์วัตถุเป็นผลพลอยได้
4. พืชบังร่ม
ในระหว่างแถวที่ปลูกไม้ยืนต้นจำเป็นต้องมีไม้บังร่มเป็นพืชพี่เลี้ยง พืชพี่เลี้ยงนอกจากจะช่วยลดแสงแดดจัดแล้วยังช่วยรักษาความชื้น พืชที่ใช้บังร่มได้ดีเช่น กล้วยน้ำว้า แค กระถิน ถั่วแระ เป็นต้น
5. ปลูกระยะชิด
วางระยะการปลูกระหว่างต้น และระหว่างแถวให้ถี่สักหน่อยพอประมาณ เมื่อต้นไม้โตขึ้นทรงพุ่มชิดติดกันพอดีเป็นการป้องกันแสงแดดหน้าร้อนไม่ให้ส่องโคนต้นหรือผิวดินรุนแรง
วางระยะการปลูกระหว่างต้น และระหว่างแถวให้ถี่สักหน่อยพอประมาณ เมื่อต้นไม้โตขึ้นทรงพุ่มชิดติดกันพอดีเป็นการป้องกันแสงแดดหน้าร้อนไม่ให้ส่องโคนต้นหรือผิวดินรุนแรง
6. แนวกันลม
ตามแนวรั้วควรปลูกพืชกำบังลม ป้องกันลมโกรก ซึ่งจะทำให้ดินแห้ง ผมใช้ต้นขี้เหล็ก และมะขามเทศปลูกชิดติดกัน โดยเฉพาะทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทางลมพัดโกรกในหน้าหนาว ปรากฎว่าช่วยรักษาความชื้นของอากาศในสวนได้เป็นอย่างดีควรใส่ปุ๋ยหมักเพิ่มเติมเรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มพูนอินทรีย์วัตถุในดิน ใส่ปูพรมไปเลย ยิ่งดีจะทำให้ดินอุดมสมบูรณ์
7. การไถพรวนหลังหน้าฝน
ดินในสวนอย่าปล่อยให้แน่นเป็นหน้าหนัง หรืออย่างดินในลานวัด พอหมดหน้าฝน ให้ขุดหรือไถให้ร่วนโปร่งเพื่อตัดเส้นการระเหยของน้ำใต้ดิน
ควรใส่ปุ๋ยหมักปุ๋ยอินทรีย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มอินทรีย์วัตถุในดิน ใส่ปูพรมเลยยิ่งดี จะทำให้ดินอุดมสมบูรณ์ และดูดซับน้ำได้ดีขึ้น
เมื่อถึงฤดูแล้ง จะสามารถได้น้ำและอาหารจากดินส่วนล่างขึ้นมาประทังไปได้ พันธุ์พืชที่นำมาปลูกควรเป็นกิ่งทาบหรือเพาะเมล็ด เพราะมีรากแก้วหกกิ่งตอนจะมีแต่รากแขนงและรากฝอยซึ่งเป็นรากส่วนบน รากเหล่านี้มักได้รับอันตรายจากการขาดน้ำและอาหาร เพราะหน้าร้อนดินผิวบนแห้งและร้อนจัด
10. รดน้ำช่วงแสงแดดอ่อน
สำหรับดินที่เป็นทรายในช่วงหน้าร้อน ตั้งแต่เวลาสามโมงเช้าถึงสามโมงเย็น จะสะสมความร้อนระอุเอาไว้มาก เพราะฉะนั้นไม่ควรรดน้ำในช่วงเวลาดังกล่าว ทางที่ดีควรรดน้ำตั้งแต่ตอนเช้ามืดถึงสองโมงเช้าและตอนเย็นถึงใกล้ค่ำ
พืชที่มีราคาแพง หรือหาได้ยาก หรือได้พันธุ์จากท้องถิ่นอื่น ที่ยังไม่คุ้นเคยกับดินฟ้าอากาศที่แห้งแล้ง ให้หาตุ่มน้ำดินเผาชนิดเนื้อหยาบตั้งไว้โคนต้นสักใบหรือสองใบ เติมน้ำให้เต็มตุ่มตลอดวันจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้มาก ตุ่มใบหนึ่ง ๆ ใช้ได้ทนทานนับสิบ ๆ ปี
พืชที่รากแก้วหยั่งลึก เช่น มะม่วง ควรใช้ไม้เนื้ออ่อน เช่น ไม้ทองหลาง ก้ามปู ขนาดเสาเข็มตัดเป็นท่อน ๆ ยาวประมาณ 1 ศอก ฝังกลางหลุมปลูกในระดับใต้รากประมาณ 2-3 ท่อน พอไม้ผุก็จะกลายเป็นช่องว่างให้รากแก้วหยั่งลงไปได้สะดวกไม่คดงอ
13. เลือกพืชทนแล้ง
ควรเลือกพืชยืนต้นที่ทนแล้ง เช่น น้อยหน่า มะม่วง ขนุน กล้วยน้ำว้า มะพร้าว มะขามเทศ มะยม มะรุม เพกา ขี้เหล็ก สะเดา ฯลฯ ส่วนพืชที่รากเล็ก ๆ ละเอียด ๆ หากินระดับตื้น ๆ เช่น มะละกอ มะนาว มะกรูด มักจะไม่ทนแล้งจึงไม่ควรปลูกมาก
น้ำที่ใช้ในกิจประจำวันเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นล้างหน้า อาบ ซักเสื้อผ้า นับเป็นน้ำปุ๋ยอย่างหนึ่งเนื่องจากมีเหงื่อไคลผสมอยู่ แม้แต่น้ำปัสสาวะที่หมักแล้ว ถ้าเอามาผสมน้ำในอัตรา ปัสสาวะหนึ่งกระป๋องนมต่อน้ำหนึ่งปี๊บแล้วเอามารดต้นไม้จะทำให้รากเจริญเติบโตดีมาก
- คุณสามารถ ดาวน์โหลด เอกสาร PDF " คู่มือการปลูกต้นไม้ยืนต้น ในพื้นที่แห้งแล้ง"