กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้คิดคำว่า“นารีพิฆาต” ขึ้นมาในช่วงเวลาที่มีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชนเนืองๆ ว่าพระภิกษุรูปนั้นรูปนี้มีพฤติการณ์พัวพันทางชู้สาวกับสตรี
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
| ทองย้อย แสงสินชัย
สตรี สตางค์ นิติ
---------------- มหาภัยของพระดีๆ
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีผู้คิดคำว่า “นารีพิฆาต” ขึ้นมาในช่วงเวลาที่มีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชนเนืองๆ ว่า พระภิกษุรูปนั้นรูปนี้ มีพฤติการณ์พัวพันทางชู้สาวกับสตรี พฤติการณ์และการออกข่าวเช่นนี้ทำให้มีผู้วิเคราะห์ว่า เกิดจากผู้ไม่หวังดีประสงค์จะทำลายพระพุทธศาสนา กล่าวคือ เมื่อเห็นว่าพระภิกษุรูปใดมีท่าทีว่าเป็นที่เจริญศรัทธาของประชาชน และจะเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนาต่อไป
ผู้ไม่หวังดีก็จะวางแผนส่งสตรีเข้าไปตีสนิทชิดเชื้อกับพระภิกษุรูปนั้น แล้วก่อความสัมพันธ์ในเชิงชู้สาวขึ้นเพื่อให้ความเสื่อมเสียเกิดขึ้นแก่พระภิกษุรูปนั้นทำให้ไม่เจริญในพระศาสนาอีกต่อไป จึงเรียกการกระทำเช่นนี้ว่า ใช้แผนนารีพิฆาต เรียกสั้นว่า “นารีพิฆาต”
แผนนารีพิฆาตนี้ ถ้าศึกษาพุทธประวัติ ก็จะพบว่า มีผู้นำมาใช้แล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล เช่นกรณี นางจิญจมาณวิกา และนางสุนทรีเป็นต้น
.................................................
น่าสังเกตว่า จนทุกวันนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า “ผู้ไม่หวังดีประสงค์จะทำลายพระพุทธศาสนา” นั้น คือใคร ฝ่ายไหน และกรณีเช่นนี้ ได้มีใคร-โดยเฉพาะคณะสงฆ์-ได้ทำการศึกษา สืบสวน หรือสืบค้นข้อเท็จจริงประมวลขึ้นเป็นข้อมูลหลักฐานบ้างหรือไม่ ? - เพื่อป้องกันแก้ไขมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นอีก อันจะเป็นประโยชน์ในทางปกป้องพระพุทธศาสนาให้มั่นคงสืบต่อไป
- จนถึงวันนี้ เท่าที่พอจะสรุปได้ การพิฆาตพระดีๆ จะใช้แผนอยู่ ๓ แผน คือ
๑ สตรี คือ นารีพิฆาตดังที่เคยปรากฏมาแล้ว
๒ สตางค์ คือใช้การพัวพันกับเรื่องเงิน เช่นเงินทอน เงินวัด อย่างที่เราเห็นกันอยู่
๓ นิติ คือใช้ช่องทางกฎหมายเอาผิดกับพระเมื่อท่านไปทำอะไรบางอย่าง ทั้งนี้เนื่องจากพระส่วนมากไม่มีความรู้ทางกฎหมาย
ผมเข้าใจว่า จนถึงวันนี้ ผู้บริหารการพระศาสนาของเรา ก็ยังไม่มีนโยบายใดๆ ที่จะขจัดจุดอ่อนหรือปิดช่องโหว่ทั้ง ๓ ช่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เราเสียพระดีๆ ไปอีก
การจะหวังให้ผู้บริหารการพระศาสนา หรือคณะสงฆ์ หรือชี้ตัวตรงๆ คือมหาเถรสมาคม ลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง ก็เห็นกันอยู่แล้วว่าไม่ต้องหวัง
“หัวก็ไม่กระดิก หางก็ไม่ส่าย”
ทางรอดเหลือทางเดียว คือ ทุกคนลงมือทำกันเอง ใครถนัดทางไหนจงทำทางนั้น
ขออนุญาตยกตัวอย่างผมเอง
ผมพิจารณาแล้วเห็นว่า ทุกวันนี้ ทั้งชาววัด ทั้งชาวบ้าน ขาดความรู้ทางพระพุทธศาสนาที่ถูกต้อง เป็นเหตุให้ทำอะไรผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากหลักธรรมคำสอนที่ถูกต้อง สาเหตุใหญ่คือ ไม่มีฉันทะอุตสาหะที่จะค้นคว้าศึกษาเรียนรู้ ผมเห็นว่าตัวผมเองพอจะศึกษาค้นคว้าหาความรู้ได้บ้าง ผมก็ลงมือศึกษาเรียนรู้
รู้อะไรมาก็เอามาบอกกล่าวให้คนอื่นๆ รู้ด้วย พร้อมๆ ไปกับกระตุ้นเตือนให้ ผู้มีหน้าที่-โดยเฉพาะก็คือพระภิกษุสามเณร-มีอุตสาหะศึกษาค้นคว้าหลักพระธรรมวินัยเพื่อให้ได้ความรู้เอามาเป็นหลักปฏิบัติและเผยแผ่ต่อไปอีก นี่คืองานที่ผมทำมานานแล้ว กำลังทำอยู่ทุกวัน และจะทำต่อไปจนกว่าจะหมดกำลัง
ท่านอื่นๆ ก็ใช้ทางของท่านทำแบบเดียวกันนี้
ใครถนัดทางไหน มีกำลังทางไหน ก็ลงมือทำในทางนั้นๆ โดยเฉพาะท่านที่ประกาศว่า รักพระศาสนา เป็นห่วงพระศาสนายิ่งนัก บัดนี้ถึงเวลาที่จะพิสูจน์แล้วว่า ท่านไม่ได้พูดแต่ปาก หากแต่ได้ลงมือทำงานจริงๆ
เป็นต้นว่า
- ท่านที่มีความรู้ทางกฎหมาย ก็ตะลุยให้ความรู้ทางกฎหมายแก่หลวงพ่อหลวงพี่ที่เป็นเจ้าอาวาส คุยได้ คุย บอกได้ บอก ทำถึงขั้นจัดอบรมได้ด้วยก็ยิ่งดี จัดอบรมกันเรื่อยไปจนกว่าพระจะมีความรู้ทางกฎหมายถึงระดับรักษาตัวได้ทั่วถึง ใครมีกำลัง ใครมีสตางค์ ก็ช่วยสนับสนุนให้จัดให้มีขึ้น
นี่ยกเป็นตัวอย่างเรื่องเดียว พอให้เห็นภาพว่าใครสามารถทำอะไรได้บ้างแต่ที่สำคัญมากๆ ก็คือ ท่านที่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างก็ดี ท่านที่สามารถทำได้ทุกอย่างแต่ไม่คิดจะช่วยทำสักอย่างก็ดี ขอความกรุณาช่วยอยู่นิ่งๆ
ถ้าให้กำลังใจกันไม่ได้ ก็ฝึกวางใจเป็นกลางเอาไว้ให้มากๆ นึกถึงคำพังเพย -มือไม่พาย ... หรือจะท่องว่า- ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ศาสนาไม่ใช่ของกูคนเดียว - เพื่อปลอบใจตัวเองไปด้วยก็เชิญ
เราท่านส่วนมากไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆ นอกจากตำแหน่งชาวพุทธล้วนๆ แท้ๆ เพียงอย่างเดียว เราจะทำงานเช่นนี้ได้ด้วยความสบายใจอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรจะต้องเสีย ไม่มีอะไรจะต้องขาดทุน มีแต่ได้บุญเป็นกำไร จึงสมควรทำอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ การทำงานเพื่อพระศาสนาของเราแต่ละคนที่ไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ยังจะเป็นการช่วยให้กำลังใจ แก่ผู้ที่มีตำแหน่งมีหน้าที่ แต่ไม่คิดจะทำอะไรนอกจากนั่งรอรับคำสั่งอย่างเดียว - อีกสถานหนึ่งด้วย
ใครจะทำหรือไม่ทำ ไม่ต้องมัวแต่รอกันนะครับ
ชวนกันไปช่วยกันทำด้วยก็ยิ่งดี ทำเป็นทีมได้ก็ยิ่งวิเศษ แต่ไม่ต้องรอกัน ไม่ต้องรอใคร
ผมพูดอยู่บ่อยๆ-คนเดียวกูก็ทำ!
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
| ทองย้อย แสงสินชัย
๙ มีนาคม ๒๕๖๕
๑๓:๒๕
Tweet