** iCJD ย่อมาจาก iatrogenic Creutzfeldt-Jakob Disease
- iatrogenic หมายถึง โรคหรือภาวะที่เกิดจากการรักษาทางการแพทย์ (เช่น การฉีดยา การปลูกถ่าย หรือหัตถการอื่น)
- Creutzfeldt-Jakob Disease (CJD) คือโรคทางระบบประสาทร้ายแรงที่เกิดจากพรีออน ซึ่งทำให้สมองเสื่อมและเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว
- การฉีดฮอร์โมนเร่งโตที่ปนเปื้อน
- การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อจากผู้เสียชีวิต
- หรือการใช้เครื่องมือผ่าตัดที่ปนเปื้อนพรีออน
กรณีนี้ เพิ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร Emerging Infectious Diseases ปี 2025 โดยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย และกลายเป็น Wake-Up Call ให้กับวงการแพทย์ทั่วโลก !!! เพราะมันแสดงให้เห็นว่า โรคพรีออน เป็นของจริง ไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป !!!
โรคพรีออน นี้ไม่ได้เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ใช่แบคทีเรีย ไม่ใช่เชื้อรา หรือพยาธิ แต่มาจาก “พรีออน” ซึ่งคือโปรตีนชนิดหนึ่ง ในร่างกายที่พับผิดรูป จนกลายเป็นอันตรายร้ายแรงต่อสมอง ....
สิ่งที่ทำให้พรีออนน่ากลัวก็คือ มันไม่มี DNA หรือ RNA ดังนั้น ... จึงไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แบบที่ภูมิคุ้มกันจะตรวจจับได้ มันเข้าไปในสมอง แล้วทำให้โปรตีนตัวอื่นพับผิดตามเป็นลูกโซ่ สมองจึงค่อยๆ เสื่อมและถูกทำลาย โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า !!!!
พรีออน ไม่ติดต่อ ผ่านการไอ จาม หรือสัมผัสทั่วไป แต่สามารถแพร่ได้ ด้วยวิธีผ่านกระบวนการทางการแพทย์ เช่น การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ การใช้ผลิตภัณฑ์ จากร่างกายมนุษย์ที่ปนเปื้อน หรืออุปกรณ์ผ่าตัดที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อเฉพาะทาง .... และสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือ…
พรีออน ไม่สามารถถูกทำลายได้ ด้วยการฆ่าเชื้อแบบทั่วไป เช่น การต้ม การใช้แอลกอฮอล์ หรือ autoclave แบบมาตรฐาน และที่เลวร้ายกว่านั้นคือ ไม่มีวัคซีนหรือยารักษาโรคพรีออนได้ในปัจจุบัน
หญิงคนนี้ ได้รับฮอร์โมนเร่งโต ที่สกัดจากต่อมใต้สมองของผู้เสียชีวิต ที่อุทิศร่างกายเพื่อการแพทย์ เป็นเวลานานถึง 9 ปี ผ่านโครงการของรัฐในสหรัฐฯ และเมื่อเวลาผ่านไป 48 ปี เธอเริ่มมีอาการสั่น เดินลำบาก กล้ามเนื้อเกร็ง และเสียชีวิตในที่สุดจาก โรค iCJD
chGH และการระบาดของ iCJD : ตัวเลขทั่วโลกสะท้อนความเสี่ยงที่ถูกมองข้าม
ในอดีต ฮอร์โมนเร่งโต ที่ใช้รักษาเด็ก ที่มีภาวะเจริญเติบโตล้มเหลว มักได้มาจาก การสกัดต่อมใต้สมองของผู้เสียชีวิต โดยเฉพาะในโครงการ National Hormone Pituitary Program (NHPP) ของสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1960–1985 มีผู้ได้รับ chGH มากกว่า 7,700 ราย
การติดเชื้อพรีออน ผ่าน chGH ได้รับการยืนยันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1985 และตั้งแต่นั้นมา มีรายงานผู้ป่วย iCJD ที่เชื่อมโยงกับ chGH แล้วรวม 254 รายทั่วโลก ***เฉพาะในสหรัฐฯ มีรายงาน 36 ราย ซึ่งทั้งหมดได้รับ chGH ก่อนปี ค.ศ. 1977 ....
การติดเชื้อพรีออน ผ่าน chGH ได้รับการยืนยันครั้งแรกในปี ค.ศ. 1985 และตั้งแต่นั้นมา มีรายงานผู้ป่วย iCJD ที่เชื่อมโยงกับ chGH แล้วรวม 254 รายทั่วโลก ***เฉพาะในสหรัฐฯ มีรายงาน 36 ราย ซึ่งทั้งหมดได้รับ chGH ก่อนปี ค.ศ. 1977 ....
ปัจจุบันปลอดภัยแล้ว : ไทยและทั่วโลกเปลี่ยนมาใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์
นับตั้งแต่ปี 1985 ฮอร์โมนเร่งโตจากผู้เสียชีวิต (chGH) ถูกยกเลิกใช้อย่างถาวร และทั่วโลก—รวมทั้ง ประเทศไทย—ได้เปลี่ยนมาใช้ recombinant human growth hormone (rhGH) ซึ่งผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรม
rhGH ไม่มีการใช้เนื้อเยื่อมนุษย์หรือสัตว์เป็นส่วนประกอบในการผลิต จึงปลอดภัยจากพรีออน อย่างสิ้นเชิง และควบคุมคุณภาพได้ดีกว่าเดิมในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การผลิต ไปจนถึงการแจกจ่ายและเฝ้าระวังผลข้างเคียง
ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วย rhGH ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงของ iCJD อย่างแน่นอน
___________________________
แม้รายงานนี้จะมาจากอเมริกา แต่คำถามสำคัญคือ
“แล้วไทยเกี่ยวอะไร?”
คำตอบคือ
" ประเทศไทยอาจเคยมีการใช้ฮอร์โมนชนิดเดียวกันในอดีต แต่เราไม่เคยขุดหาข้อมูลอย่างจริงจัง !!!???
ไม่เคยเช็กเลยว่า มีใครในประเทศได้รับยานี้มาก่อนหรือไม่ และถ้าเคย—วันนี้พวกเขาเหล่านั้นยังอยู่ที่ไหน ???
สิ่งที่ไทยควรทำตอนนี้คือ การทบทวนประวัติการใช้ฮอร์โมนเร่งโต จากผู้เสียชีวิตที่อุทิศร่างกาย ต้องค้นหาว่า เคยมีการนำเข้าหรือไม่ ใช้เมื่อไร ใช้กับใคร แพทย์ต้องตื่นรู้ กับโรคนี้ โดยเฉพาะเมื่อพบผู้ป่วยที่สมองเสื่อมผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุในวัยกลางคนถึงสูงอายุ ....
ประเทศไทยยังต้องเร่งยกระดับแล็บ ให้สามารถตรวจพรีออนได้อย่างแม่นยำ เช่น RT-QuIC และการวิเคราะห์โปรตีน tau กับ 14-3-3 ในน้ำไขสันหลัง พร้อมกับสนับสนุนการชันสูตรสมองในเคสต้องสงสัยให้เป็นมาตรฐาน
บทเรียนสำคัญคือ แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์ ยังมีความเสี่ยงแฝงอยู่เสมอ การใช้ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เช่น ฮอร์โมนสังเคราะห์ จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือเรื่องของชีวิตระยะยาว
บางโรคไม่แสดงอาการในสิบปีแรก...
แต่มันอาจรอเราอยู่ในปีที่ 48
นี่คือสัญญาณเตือนให้ไทยไม่ประมาทกับประวัติการรักษาในอดีต
ประเทศไทยยังต้องเร่งยกระดับแล็บ ให้สามารถตรวจพรีออนได้อย่างแม่นยำ เช่น RT-QuIC และการวิเคราะห์โปรตีน tau กับ 14-3-3 ในน้ำไขสันหลัง พร้อมกับสนับสนุนการชันสูตรสมองในเคสต้องสงสัยให้เป็นมาตรฐาน
บทเรียนสำคัญคือ แม้เทคโนโลยีจะล้ำหน้า แต่ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ที่มีต้นกำเนิดจากมนุษย์ ยังมีความเสี่ยงแฝงอยู่เสมอ การใช้ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เช่น ฮอร์โมนสังเคราะห์ จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี แต่คือเรื่องของชีวิตระยะยาว
บางโรคไม่แสดงอาการในสิบปีแรก...
แต่มันอาจรอเราอยู่ในปีที่ 48
นี่คือสัญญาณเตือนให้ไทยไม่ประมาทกับประวัติการรักษาในอดีต
และยกระดับระบบเฝ้าระวังโรคหายากให้เท่าทันอนาคต ก่อนจะสายเกินไป
ถ้าไทยเคยใช้ chGH จริง จะตามหาผู้ที่ได้รับการรักษาเมื่อหลายสิบปีก่อนได้อย่างไร ?
ในระบบที่ไม่มีฐานข้อมูล?
ถ้าไทยเคยใช้ chGH (ฮอร์โมนเร่งโตจากผู้เสียชีวิตที่อุทิศร่างกาย) จริงในอดีต และไม่มีระบบฐานข้อมูลดิจิทัลรองรับแบบปัจจุบัน การตามหาผู้ที่เคยได้รับการรักษานั้น ทำได้ยากมาก แต่ยังสามารถใช้แนวทางผสมผสานเพื่อ "ค่อย ๆ ตามรอยย้อนหลัง" ได้ดังนี้:
1. เริ่มต้นจากโรงพยาบาลรัฐที่มีแผนกต่อมไร้ท่อและกุมารเวช ...
โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลใหญ่ในระดับภูมิภาค เช่น รพ.รามาธิบดี, ศิริราช, จุฬาฯ, รพ.พระมงกุฎ ฯลฯ มักเป็นสถานที่ที่เคยมีโครงการหรือความร่วมมือทางวิชาการกับต่างประเทศ
- ตรวจสอบเอกสารเก่าของแผนกอายุรกรรมและกุมารเวชศาสตร์
- สัมภาษณ์บุคลากรทางการแพทย์รุ่นเก่าที่ยังมีชีวิต
- ตรวจสอบรายงานวิจัยหรือโครงการที่เคยตีพิมพ์ในช่วงปี 1970–1990 ซึ่งอาจมีรายชื่อผู้ร่วมวิจัย หรือคำอธิบายว่ามีการใช้ chGH
2. ดึงประวัติจากสำนักงานอาหารและยา (อย.) และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
แม้ไม่มีฐานข้อมูลผู้ป่วย แต่อาจมีข้อมูลเกี่ยวกับการ "ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ chGH" หรือเอกสารการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ชีวภาพจากต่างประเทศช่วงก่อนยุค recombinant hGH
3. ใช้ระบบประกันสุขภาพในยุคปัจจุบันตามรอยผู้ที่ "อาจมีความเสี่ยง"
แม้จะไม่มีรายชื่อโดยตรง แต่สามารถสร้าง "กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง" ได้ เช่น
อาจใช้สื่อสาธารณะ เช่น Facebook, สธ., LINE Official หรือการออกประกาศเชิงรณรงค์ให้ผู้ที่เคยได้รับฮอร์โมนเร่งโตจากผู้เสียชีวิตในวัยเด็ก “แจ้งข้อมูลตนเองเพื่อรับการตรวจคัดกรองล่วงหน้า”
5. เชื่อมต่อกับข้อมูลต่างประเทศ หากมีการรักษาแบบ cross-border
ในกรณีที่ไทยเคยเข้าร่วมโครงการ NHPP (เช่นในรูปแบบส่งเด็กไทยไปรักษาในต่างประเทศ) ต้องตรวจสอบความร่วมมือด้านวิจัยหรือ Human Growth Foundation ที่อาจมีการจัดเก็บข้อมูลส่วนหนึ่งไว้
แนวทางทั้งหมดนี้ แม้ไม่สามารถให้รายชื่อแบบครบถ้วน 100%
แม้ไม่มีฐานข้อมูลผู้ป่วย แต่อาจมีข้อมูลเกี่ยวกับการ "ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ chGH" หรือเอกสารการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ชีวภาพจากต่างประเทศช่วงก่อนยุค recombinant hGH
- ตรวจสอบใบอนุญาตนำเข้าย้อนหลัง
- ตรวจสอบชื่อผู้แทนจำหน่าย และช่องทางกระจายยาในยุคนั้น
- ตรวจสอบว่า chGH เคยถูกแจกจ่ายในโครงการทดลองทางคลินิกหรือไม
3. ใช้ระบบประกันสุขภาพในยุคปัจจุบันตามรอยผู้ที่ "อาจมีความเสี่ยง"
แม้จะไม่มีรายชื่อโดยตรง แต่สามารถสร้าง "กลุ่มผู้มีความเสี่ยงสูง" ได้ เช่น
- คนไทยที่เคยเข้ารับการรักษาภาวะเติบโตล้มเหลวช่วงปี 2520–2535
- ผู้ที่มีประวัติเข้ารับการฉีดฮอร์โมนเร่งโตสมัยเด็กจาก รพ.ใหญ่
- ใช้ฐานข้อมูลจาก สปสช. / กรมบัญชีกลาง / กองทุนประกันสังคม ในการติดตามย้อนหลังตามช่วงปีเกิด
อาจใช้สื่อสาธารณะ เช่น Facebook, สธ., LINE Official หรือการออกประกาศเชิงรณรงค์ให้ผู้ที่เคยได้รับฮอร์โมนเร่งโตจากผู้เสียชีวิตในวัยเด็ก “แจ้งข้อมูลตนเองเพื่อรับการตรวจคัดกรองล่วงหน้า”
- ควบคู่กับการให้ความรู้เรื่องโรคพรีออนและอาการต้องสงสัย
- เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ผลในหลายประเทศเมื่อรัฐไม่มีข้อมูลในอดีต เช่น อังกฤษและฝรั่งเศส
5. เชื่อมต่อกับข้อมูลต่างประเทศ หากมีการรักษาแบบ cross-border
ในกรณีที่ไทยเคยเข้าร่วมโครงการ NHPP (เช่นในรูปแบบส่งเด็กไทยไปรักษาในต่างประเทศ) ต้องตรวจสอบความร่วมมือด้านวิจัยหรือ Human Growth Foundation ที่อาจมีการจัดเก็บข้อมูลส่วนหนึ่งไว้
แนวทางทั้งหมดนี้ แม้ไม่สามารถให้รายชื่อแบบครบถ้วน 100%
แต่ช่วยสร้าง “ฐานกลุ่มเสี่ยงที่ตรวจสอบได้” เพื่อเข้าสู่การเฝ้าระวังอย่างเป็นระบบในอนาคต
แพทย์ควรมีแนวทางฝึกอบรมอย่างไร เพื่อสามารถสงสัยโรคพรีออนในเคสที่ดูเหมือนอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อมทั่วไป?
เพื่อให้แพทย์สามารถ "สงสัยและแยกแยะ" โรคพรีออน (เช่น iCJD) จากภาวะสมองเสื่อมทั่วไปอย่างอัลไซเมอร์ได้อย่างทันท่วงที ควรออกแบบ แนวทางฝึกอบรมเฉพาะทาง ที่เน้นการเชื่อมโยงระหว่าง “ประวัติทางการแพทย์” กับ “ลักษณะอาการที่ผิดปกติ” ดังนี้:
แพทย์ควรมีแนวทางฝึกอบรมอย่างไร เพื่อสามารถสงสัยโรคพรีออนในเคสที่ดูเหมือนอัลไซเมอร์หรือสมองเสื่อมทั่วไป?
เพื่อให้แพทย์สามารถ "สงสัยและแยกแยะ" โรคพรีออน (เช่น iCJD) จากภาวะสมองเสื่อมทั่วไปอย่างอัลไซเมอร์ได้อย่างทันท่วงที ควรออกแบบ แนวทางฝึกอบรมเฉพาะทาง ที่เน้นการเชื่อมโยงระหว่าง “ประวัติทางการแพทย์” กับ “ลักษณะอาการที่ผิดปกติ” ดังนี้:
1. ฝึกให้สังเกต “ความเร็วในการทรุด” และอาการทางระบบประสาทร่วม อัลไซเมอร์มักค่อย ๆ เสื่อมลงในระยะหลายปี โรคพรีออน เช่น iCJD มักทรุดลงอย่างรวดเร็วในหลักสัปดาห์ถึงไม่กี่เดือน ...
แพทย์ต้องได้รับการฝึกให้จับสัญญาณเหล่านี้เป็น early red flag:
• ความจำเสื่อมแบบเฉียบพลันภายใน 1–3 เดือน
• กล้ามเนื้อเกร็ง สั่น กระตุกผิดปกติ (myoclonus, rigidity)
• เดินเซ หรือเสียการทรงตัวรวดเร็วผิดปกติ
• อาการทางจิตแบบแปรปรวน (เช่น ซึมเศร้ารุนแรง, ประสาทหลอน, พูดช้าเฉียบพลัน)
2. เน้นการฝึกซักประวัติอย่างลึกในประเด็นที่ “คนไข้ไม่เคยคิดว่ามีผล”
หลายเคสพรีออนไม่ถูกวินิจฉัย เพราะแพทย์ไม่ได้ซักประวัติการรักษาทางการแพทย์ในวัยเด็กหรือการผ่าตัด/ปลูกถ่ายที่เกิน 20–30 ปีที่ผ่านมา
แนวทางฝึกอบรมควรบรรจุแบบฝึกการถามคำถามเหล่านี้:
• เคยได้รับการฉีดฮอร์โมนเร่งโตตอนเด็กหรือไม่
• เคยปลูกถ่ายกระจกตา, เยื่อหุ้มสมอง, หรือลิ้นหัวใจจากผู้บริจาคหรือไม่
• เคยเข้ารับการผ่าตัดระบบประสาทช่วงก่อนปี 2000 หรือไม่
• เคยอาศัยหรือรับการรักษาในต่างประเทศหรือโครงการทดลองหรือไม่
3. เสริมความรู้การแปลผล MRI, EEG, และ CSF ในโรคพรีออน
การอบรมควรครอบคลุม:
• ลักษณะเฉพาะใน MRI (เช่น cortical ribboning, signal abnormality ใน basal ganglia)
• การตรวจคลื่นสมองที่พบ slow periodic discharges
• ความหมายของการพบโปรตีน 14-3-3 หรือ tau สูงผิดปกติในน้ำไขสันหลัง
• การใช้ RT-QuIC test ในการวินิจฉัยยืนยัน
ควรมีการฝึก case-based learning หรือใช้ภาพตัวอย่างจริงร่วมด้วย
4. สร้าง Checklists ทางคลินิกที่ใช้ได้จริงในโรงพยาบาลชุมชน
Checklist แบบสั้นเพื่อ screen ผู้ป่วยสมองเสื่อมเฉียบพลันน่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญ
เช่น "หากมีอาการ 3 ข้อจาก 5 ข้อนี้ ควรส่งต่อหรือตรวจหา CJD ทันที"
5. สอนแนวคิด “อย่าตัดสินเร็วเกินไป” กับคำว่า “อัลไซเมอร์” หรือ “ภาวะหลงลืม”
ในระบบปฐมภูมิ หลายเคสถูกวินิจฉัยเป็น dementia แบบกำกวมโดยไม่มีการส่งต่อ
แพทย์ควรถูกฝึกให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า
"ความเสื่อมนี้เร็วเกินไปหรือเปล่า?"
"มีอะไรที่บ่งชี้ว่ามันไม่ใช่แค่อัลไซเมอร์ไหม?"
6. บรรจุโรคพรีออนไว้ในหลักสูตร CME (Continuing Medical Education)
ควรมีโมดูลเฉพาะในหัวข้อ “โรคหายากแต่อันตรายสูง” สำหรับแพทย์ทั่วไป
และใช้กรณีศึกษาแบบ iCJD นี้เป็นบทเรียนกลางที่เชื่อมโยงนโยบาย ความรู้ และทักษะคลินิก
หากพรีออน ไม่ได้มาจากฮอร์โมนเพียงอย่างเดียว !!!
ยังมีช่องทางใดที่เสี่ยงอีกบ้าง และระบบสาธารณสุขควรรับมืออย่างไร?
พรีออน ไม่ได้แพร่จาก “ฮอร์โมนเร่งโต” เท่านั้น — ยังมี ช่องทางอื่นที่เสี่ยงต่อการถ่ายทอดพรีออน สู่คน โดยเฉพาะในบริบทของการรักษาพยาบาล หรือการสัมผัสสารชีวภาพโดยตรง
ซึ่งระบบสาธารณสุขไทยควร “มองให้ลึกกว่ากรณี chGH” และวางแผนรับมือเชิงรุก ดังนี้:
ช่องทางเสี่ยงอื่นที่อาจถ่ายทอดพรีออน:
1. การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อที่มาจากมนุษย์
2. อุปกรณ์ผ่าตัดสมองหรือกระดูกสันหลังที่ไม่ผ่านการฆ่าพรีออนโดยเฉพาะ
3. ฮอร์โมนหรือล็อตวัคซีนที่ผลิตจากเนื้อเยื่อสมองสัตว์ในอดีต
4. การรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีการปนเปื้อนพรีออน
5. การบริจาคเลือดจากผู้ที่เคยได้รับ chGH หรือปลูกถ่ายเนื้อเยื่อจากมนุษย์
ระบบสาธารณสุขควรรับมืออย่างไร?
ยังมีช่องทางใดที่เสี่ยงอีกบ้าง และระบบสาธารณสุขควรรับมืออย่างไร?
พรีออน ไม่ได้แพร่จาก “ฮอร์โมนเร่งโต” เท่านั้น — ยังมี ช่องทางอื่นที่เสี่ยงต่อการถ่ายทอดพรีออน สู่คน โดยเฉพาะในบริบทของการรักษาพยาบาล หรือการสัมผัสสารชีวภาพโดยตรง
ซึ่งระบบสาธารณสุขไทยควร “มองให้ลึกกว่ากรณี chGH” และวางแผนรับมือเชิงรุก ดังนี้:
ช่องทางเสี่ยงอื่นที่อาจถ่ายทอดพรีออน:
1. การปลูกถ่ายเนื้อเยื่อที่มาจากมนุษย์
- กระจกตา
- เยื่อหุ้มสมอง (dura mater graft)
- ลิ้นหัวใจชีวภาพ
- สมองหรือไขสันหลังจากการบริจาค (เช่น ในการศึกษาทางวิทยาศาสตร์)
- เคส CJD จากเยื่อหุ้มสมองปลูกถ่ายเคยเกิดในญี่ปุ่น, ฝรั่งเศส, อังกฤษ และเยอรมนี
2. อุปกรณ์ผ่าตัดสมองหรือกระดูกสันหลังที่ไม่ผ่านการฆ่าพรีออนโดยเฉพาะ
- พรีออนไม่ถูกทำลายด้วยการฆ่าเชื้อแบบมาตรฐาน เช่น autoclave หรือ formaldehyde
- หากมีการนำเครื่องมือกลับมาใช้ซ้ำโดยไม่ผ่านกระบวนการทำลายพรีออนโดยเฉพาะ (เช่น NaOH 1N 1 ชั่วโมง + autoclave 134°C) อาจมีความเสี่ยงสะสม
3. ฮอร์โมนหรือล็อตวัคซีนที่ผลิตจากเนื้อเยื่อสมองสัตว์ในอดีต
- วัคซีนบางรุ่นในอดีตเคยใช้เนื้อเยื่อสัตว์เป็นฐาน (ก่อนเข้าสู่ยุค recombinant) เช่น วัคซีนพิษสุนัขบ้ารุ่นแรก ๆ
- แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าทำให้เกิดโรคในมนุษย์ แต่ถือเป็นประเด็นเฝ้าระวังในบางประเทศ
4. การรับประทานเนื้อสัตว์ที่มีการปนเปื้อนพรีออน
- แม้เคส vCJD จากเนื้อวัวติดโรควัวบ้า (BSE) เคยเกิดเฉพาะในยุโรป แต่ความเสี่ยงนี้ยังมีอยู่ โดยเฉพาะหากกระบวนการตรวจโรควัวบ้าในสัตว์ไม่เข้มงวด
- อวัยวะที่เสี่ยงมากที่สุดคือ สมอง, ไขสันหลัง, ตา และต่อมน้ำเหลือง
5. การบริจาคเลือดจากผู้ที่เคยได้รับ chGH หรือปลูกถ่ายเนื้อเยื่อจากมนุษย์
- หลายประเทศ เช่น อังกฤษ ยังคงห้ามไม่ให้ผู้เคยรับ chGH บริจาคโลหิตถาวร แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าเลือดสามารถถ่ายทอดพรีออนได้ง่าย แต่ยังถือเป็น precaution
ระบบสาธารณสุขควรรับมืออย่างไร?
1. ทบทวนแนวทาง “การทำลายพรีออน” สำหรับอุปกรณ์ผ่าตัดสมอง
- ออกคำแนะนำเฉพาะสำหรับ รพ. ที่มีแผนกศัลยกรรมระบบประสาท
- กำหนด protocol การฆ่าเชื้อแบบพรีออน (prion decontamination) สำหรับอุปกรณ์ที่สัมผัสเนื้อเยื่อประสาทส่วนกลาง
2. ตรวจสอบการใช้เนื้อเยื่อจากมนุษย์ในการรักษาในอดีต
- ทบทวนระบบการจัดการ “คลังเนื้อเยื่อ” ของไทยย้อนหลังว่าเคยมีการใช้ dura mater, กระจกตา หรือวาล์วหัวใจจากผู้บริจาคหรือไม่
- หากพบว่ามี ควรจัดตั้งฐานข้อมูลเพื่อเฝ้าระวังผู้รับเนื้อเยื่อ
3. วางแนวทางการเฝ้าระวังในระบบบริจาคเลือดและอวัยวะ
- ประเมินนโยบายการคัดกรองผู้บริจาคที่เคยได้รับ chGH, เนื้อเยื่อ, หรือปลูกถ่ายจากต่างประเทศ
- ตรวจสอบการนำเข้าวัคซีน/สารชีวภาพรุ่นเก่าโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเยื่อสัตว์
4. เสริมความรู้ให้เจ้าหน้าที่และแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
- แพทย์, เจ้าหน้าที่ผ่าตัด, ผู้ดูแลคลังเนื้อเยื่อ ควรเข้าใจว่า "พรีออนฆ่ายากกว่าที่คิด"
- ต้องมีระบบ traceability ของผู้บริจาคและผู้รับสารชีวภาพแบบย้อนหลังได้
5. เตรียมห้องปฏิบัติการสำหรับตรวจยืนยันในกรณีสงสัย CJD
- สร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ เช่น ศูนย์ RT-QuIC, NPDPSC, หรือ WHO Collaborating Centers
- พัฒนาเจ้าหน้าที่ห้องแล็บให้เชี่ยวชาญการตรวจโปรตีน tau, 14-3-3 ในน้ำไขสันหลัง
___________________________
Cadaveric Human Growth Hormone–Associated Creutzfeldt-Jakob Disease with Long Latency Period, United States
Volume 31, Number 6—June 2025
https://wwwnc.cdc.gov/eid/article/31/6/24-1519_article
Center for Medical Genomics | ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
https://www.facebook.com/CMGrama