8/06/68

ประวัติศาสตร์ การลอบสังหารในกัมพูชา การตายของผู้เห็นต่าง พิธีกรรมเงียบของอำนาจ

“เงามืดแห่งอำนาจ”  ประวัติศาสตร์การลอบสังหารในกัมพูชา (1975–2025)   "ในประเทศที่อำนาจรัฐไม่เคยมีวันล่มสลาย การตายของผู้เห็นต่าง มักไม่ใช่อุบัติเหตุ …แต่มักเป็นพิธีกรรมเงียบของอำนาจ"



การลอบสังหารในฐานะเครื่องมือของรัฐ

     ประวัติศาสตร์การเมืองของกัมพูชา  ในครึ่งศตวรรษหลัง พ.ศ. 2518  มิใช่เพียงเรื่องของการเปลี่ยนผ่านระบอบ หากแต่เต็มไปด้วย  ร่องรอยของ "การใช้ความตายเป็นวาทกรรมแห่งการปกครอง"  ไม่ว่าจะโดยรัฐนิยมเผด็จการ คอมมิวนิสต์ หรือประชาธิปไตยปลอม ... 

      รูปแบบของ “การลอบสังหาร” ในกัมพูชา  มิได้ปรากฏในแบบ  ที่โลกตะวันตกนิยาม — หากแต่มักผสานกลวิธีระหว่าง การปิดปาก, การลงโทษเชิงตัวอย่าง, และ การกำจัดเชิงสัญลักษณ์ ผ่านกลไกเงียบที่ยากจะสืบสาวถึงผู้บงการได้  ....


1. การสังหารในนามอุดมการณ์
   
: เขมรแดงและศิลปะของการกวาดล้าง

      ในยุคของเขมรแดง ( ค.ศ. 1975 – 1979)  ระบอบของพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา  ได้แปลงสังคมให้กลายเป็น "ห้องสังหารขนาดยักษ์" ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นศัตรูของการปฏิวัติ — ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ปัญญาชน หรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่พรรคตนเอง — ต่างถูกกำจัด 

      กรณีศึกษา  ที่น่าสนใจคือการประหาร Hu Nim, Khoy Thoun และแม้แต่ Son Sen ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกระดับสูงของพรรคที่ถูกกล่าวหาว่า "ทรยศ" และถูกสังหารพร้อมทั้งครอบครัวในปี 1997 ภายหลังจากระบอบล่มสลาย  ...

เอกสารในเรือนจำ S-21 (Tuol Sleng) ยืนยันรูปแบบของการทรมาน  และการ “จัดทำคำรับสารภาพล่วงหน้า” ซึ่งสะท้อนแนวคิดการฆ่าแบบมีพิธีกรรม ....

>   สารภาพก่อนตาย คือ   การชำระล้างบาปทางอุดมการณ์  เพื่อให้ความตายกลายเป็นการล้างความชอบธรรมของเหยื่อ



2. การรัฐประหารเงียบ 
      : ปี ค.ศ. 1997 และการลอบสังหารในนาม "ความมั่นคง"

     ในปี  ค.ศ. 1997 พลเอก ฮุน เซน ดำเนินการรัฐประหาร กับรัฐบาลผสมที่มี เจ้าชายรณฤทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีร่วม โดยใช้ข้ออ้างเรื่อง "การรักษาเสถียรภาพ"

     ข้อมูลจาก Human Rights Watch ระบุว่า  มีเจ้าหน้าที่ของพรรค FUNCINPEC และทหารฝ่ายตรงข้ามอย่างน้อย 40 ราย ถูกสังหารหรืออุ้มหาย ภายในเวลาไม่กี่วัน หลายรายถูกประหารในสถานที่ลับหลังจับกุม ซึ่งไม่มีการพิจารณาคดีใด ๆ

กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของ "การลอบสังหารโดยรัฐ" ที่ได้รับการปกปิดอย่างมีระบบ โดยผสาน เครื่องมือข่าวกรอง, กองกำลังพิเศษ, และ การนิ่งเฉยของกระบวนการยุติธรรม


3. การลอบสังหารเชิงสัญญะ 
      : เมื่อนักคิดต้องตาย

      ช่วงหลังปี  ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา ปรากฏ “การตายมีเงื่อนงำ” ของนักกิจกรรม นักข่าว และนักวิชาการที่มีบทบาทต่อต้านระบอบอย่างชัดเจนหลายราย: 

    Kem Ley (2016)  : นักวิจัยและนักวิจารณ์นโยบายรัฐ ถูกยิงตายกลางวันแสก ๆ ในร้านกาแฟ หลังจากเปิดเผยรายงาน “Global Witness” ที่กล่าวหา การสะสมทรัพย์สินของครอบครัวฮุน เซน  ผู้ต้องหาถูกจับในนาม “หนี้ส่วนตัว” แต่กระบวนการสอบสวนเต็มไปด้วยข้อสงสัยและปกปิดหลักฐาน

     Chut Wutty (2012)  : นักสิ่งแวดล้อมที่ตรวจสอบการตัดไม้ในจังหวัดโคห์คอง ถูกยิงตายโดยทหารขณะเก็บข้อมูล 

เจ้าหน้าที่ผู้ยิงตายถูกระบุว่า “ฆ่าตัวตายทันทีหลังลงมือ” ซึ่งนักสิทธิมนุษยชนหลายรายมองว่าเป็น   "การสร้างพยานปลอม"

Chea Vichea (2004)  : ผู้นำแรงงาน ถูกยิงกลางเมือง มีการจับแพะรับบาปในคดีที่ไม่มีพยานหลักฐาน — ศาลภายหลังสั่งปล่อยตัวแต่ไม่เคยจับผู้กระทำผิดจริง

การตายของบุคคลเหล่านี้ไม่เพียงแต่ปลิดชีพ แต่ยังแฝง “ข้อความเงียบ” ว่า “แม้ไม่มีเครื่องแบบ ก็เป็นภัยต่อรัฐได้ หากมีเสียง”

4. ความตายไร้พรมแดน  
     : สังหารนอกประเทศ และการไล่ล่าแบบข้ามรัฐ

ในทศวรรษ 2020s ปรากฏแนวโน้มการลอบสังหารในต่างแดน โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยทางการเมืองในประเทศไทย เช่น:

  • Lim Kimya (2025 ):   อดีต ส.ส.ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงเทพฯ โดยมีพยานหลักฐานว่าผู้ต้องหาเคยมีสัมพันธ์กับรัฐกัมพูชา

  • ผู้นำฝ่ายค้าน Sam Rainsy ออกมากล่าวชัดว่า “นี่คือคำสั่งโดยตรงจากพนมเปญ” — แต่รัฐบาลฮุน เซนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
    รายงานจาก UNHCR ยังระบุถึง รูปแบบการจับกุม-ส่งกลับผู้ลี้ภัย แบบไม่เป็นทางการ รวมถึง “การหายตัวไป”   ของนักเคลื่อนไหวกัมพูชาในประเทศไทย โดยไม่มีคำอธิบายจากทั้งสองรัฐบาล 

การสังหารทางการเมืองไม่ได้สิ้นสุดลงที่พรมแดน  หากแต่แปรสภาพเป็นสงครามข่าวสาร การหายตัว และความตายที่ไม่มีใครรับผิดชอบ


บทสรุป : เครือข่ายของความตาย

    เงื่อนงำทั้งหมดนี้   ชี้ให้เห็นว่า “การลอบสังหาร” ในกัมพูชา มิได้เป็นเหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่คือส่วนหนึ่งของโครงสร้างอำนาจที่ยังคงดำรงอยู่
  • ผู้ถูกสังหาร มักมีคุณลักษณะร่วม: “วิพากษ์อำนาจ–มีอิทธิพลในสังคม–ยึดถืออุดมการณ์ประชาธิปไตย”
  • ผู้กระทำ มักไม่มีตัวตนแน่ชัด — แต่เงาของรัฐ, พรรค, และผู้มีอำนาจ มักอยู่เบื้องหลังเสมอ
กระบวนการยุติธรรมไม่เคยสว่างพอ  สำหรับเหยื่อ แต่สว่างพอที่จะปกป้องผู้รอดชีวิตที่มีอำนาจ

....  การตายของพวกเขา...อาจไม่เคยได้รับความยุติธรรม แต่ได้เขียนประวัติศาสตร์อีกบทที่รัฐเผด็จการไม่อาจลบได้ง่าย ๆ 




ขับเคลื่อนโดย Blogger.

 
miscthailand