6/20/68

MIT เผยงานวิจัย ใช้ AI อย่าง ChatGPT บ่อย ๆ “จะใช้สมองน้อยลง” และเกิดภาวะ “หนี้ทางปัญญา”

    MIT ได้เปิดเผยงานศึกษาชิ้นสำคัญ ที่อาจเปลี่ยนมุมมองของผู้ใช้งานไปตลอดกาล โดยพบว่า การใช้ Ai อย่าง ChatGPT บ่อยๆ เพื่อช่วยเขียนบทความ อาจทำให้สมองของเรา “ทำงานน้อยลง” อย่างชัดเจนภายในระยะเวลาเพียง 4 เดือน ....


Cognitive Debt

งานวิจัยนี้มีชื่อว่า Your Brain on ChatGPT

      ทีมวิจัย ได้ทำการทดลองกับผู้เข้าร่วม 54 คน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 
  • กลุ่มที่ใช้ ChatGPT (LLM group)
  • กลุ่มที่ใช้ Search Engine (Search group) 
  • และกลุ่มที่ใช้สมองล้วน ๆ โดยไม่มีเครื่องมือช่วย (Brain-only group)
    โดยผู้เข้าร่วมแต่ละกลุ่ม จะต้องเขียนบทความในแต่ละรอบ โดยมีทั้งหมด 3 ครั้ง  ... จากนั้นในรอบที่ 4 ได้มีการ “สลับบทบาท” โดยให้กลุ่มที่เคยใช้ ChatGPT ต้องเขียนโดยไม่ใช้เครื่องมือใด ส่วนกลุ่ม Brain-only ได้ลองใช้ ChatGPT เป็นครั้งแรก ..


ผลการวิเคราะห์โดยใช้เครื่อง EEG ที่ใช้ตรวจจับการทำงานของสมอง พบว่า ... 
  • กลุ่มที่ใช้สมองล้วน ๆ มีการเชื่อมต่อของสมอง มากที่สุดและกว้างที่สุด

  • ขณะที่กลุ่มที่ใช้ Search Engine มีการทำงานของสมองระดับปานกลาง

  • และกลุ่มที่ใช้ ChatGPT แสดงการทำงานของสมองต่ำที่สุด

    เมื่อถึงรอบที่ต้องเขียนเอง กลุ่มที่เคยใช้ ChatGPT แสดงสัญญาณของ “สมองไม่ตื่นตัว” และใช้ทรัพยากรทางปัญญาได้น้อยกว่ากลุ่มอื่นอย่างเห็นได้ชัด ....

ไม่เพียงแค่สมองทำงานน้อยลง ผู้เข้าร่วมในกลุ่ม ChatGPT ยังให้สัมภาษณ์หลังภารกิจว่า ....

  พวกเขาจำสิ่งที่เขียนไปก่อนหน้านั้นได้ไม่มาก !?? 

       และไม่รู้สึก มีความเป็นเจ้าของบทความที่ตนเองเขียนออกมาผ่าน AI ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม Search และ Brain-only ที่แสดงความผูกพันกับเนื้อหาที่ตนเองเขียนอย่างชัดเจน .... 



**** นักวิจัยสรุปว่า ****

    การใช้ AI อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในบริบทของการเรียน อาจทำให้ผู้ใช้งาน สะสม “หนี้ทางปัญญา” (Cognitive debt)  โดยไม่รู้ตัว ส่งผลต่อความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และจดจำในระยะยาว ....

แม้ว่า ChatGPT จะช่วยให้การเขียนดูง่าย และรวดเร็วขึ้น แต่ ก็อาจแลกมาด้วยการ "ลดทอนศักยภาพของสมอง" โดยไม่รู้ตัว !!! 


แม้งานวิจัยชิ้นนี้จะไม่ใช่คำเตือนให้เลิกใช้ AI  แต่ก็ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้อย่างมีสติและสมดุล หากเราใช้ AI เป็น “เครื่องมือ” เพื่อ  "เสริม"  ไม่ใช่ "แทนที่"  กระบวนการคิดของมนุษย์  ก็อาจเป็นทางเลือกที่ปลอดภัย .... และยั่งยืนกว่าในโลกที่ปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต ....

เรียบเรียงโดย :::: https://siamblockchain.com
ที่มาของบทความ ::: https://www.brainonllm.com/



"หนี้ทางปัญญา" (Cognitive debt)   คืออะไร ?

    "หนี้ทางปัญญา" (Cognitive Debt) เป็นแนวคิด  ที่เปรียบเทียบ การพึ่งพาเครื่องมือภายนอก โดยเฉพาะเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการทำงานด้านความคิด และการประมวลผลข้อมูล คล้ายกับการ "กู้ยืม" ความสามารถทางสติปัญญาจากภายนอก  แทนที่จะใช้ความสามารถของสมองตัวเองอย่างเต็มที่ ...

     แนวคิดนี้มาจากแนวคิด "หนี้ทางเทคนิค" (Technical Debt) ในวงการพัฒนาซอฟต์แวร์ ซึ่งหมายถึง  การที่เราเลือกทางลัด ในการพัฒนาเพื่อเร่งงาน  ให้เสร็จเร็วยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการที่ต้องกลับมาแก้ไขหรือปรับปรุงโค้ดในภายหลัง   หากไม่ "ชำระหนี้" นี้ ก็จะสะสมปัญหาและทำให้งานในอนาคตยากขึ้น 

ในทำนองเดียวกัน "หนี้ทางปัญญา" ก็มักจะเกิดขึ้นกับเราในด้าน ....
  • พึ่งพา AI ในการแก้ปัญหามากเกินไป
    ....  แทนที่จะใช้เวลาคิดวิเคราะห์ วางแผน หรือสร้างสรรค์ด้วยตัวเอง เรากลับให้ AI ทำหน้าที่เหล่านั้นให้  

  • ได้คำตอบ โดยที่ไม่เข้าใจกระบวนการ....
    ....  AI อาจให้คำตอบที่ถูกต้อง  แต่เราไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดหรือทำความเข้าใจ ที่นำไปสู่คำตอบนั้นอย่างถ่องแท้ ...

  • ขาดการฝึกฝนทักษะการคิด .... 
    ....... เมื่อสมองไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ  ในด้านการจดจำ การวิเคราะห์ การเชื่อมโยงข้อมูล หรือการสร้างสรรค์ ทักษะเหล่านั้นก็จะอ่อนแอลง 
ผลกระทบของ "หนี้ทางปัญญา"  

       สมองจะคุ้นชินกับการ "ส่งต่อ" งานคิดไปให้ AI    ทำให้ทักษะการคิดวิเคราะห์ด้วยตัวเองลดลง  และอาจจะทำให้ความสามารถในการจดจำ แย่ลง , ขาดความคิดสร้างสรรค์ , ไม่มีความรู้สึกการเป็นเจ้าของผลงานทำให้เราไม่ผูกพัน และจดจำมากนัก  และสมองจะเฉื่อยชาลง ... 


"หนี้ทางปัญญา" เป็นการเตือนให้เราตระหนักถึงการใช้ AI อย่างมี "สติ" และ รักษา "สมดุล" AI เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์  อย่างมาก แต่ ควรใช้  เพื่อ"เสริม"สร้างความสามารถของเรา ไม่ใช่ ใช้เพื่อ "ทดแทน" การใช้สมองของเราอย่างสิ้นเชิง 

 การ "ชำระหนี้ทางปัญญา" คือการฝึกฝนความคิดด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ แม้จะมี AI อยู่ก็ตาม เพื่อรักษาสมรรถนะทางสติปัญญาของเราไว้ในระยะยาว


ขับเคลื่อนโดย Blogger.

 
miscthailand