2/01/66

Waking up on the wrong side of the bed | แนะนำหนังสือ

ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกหงุดหงิด (ทั้งๆที่ไม่ได้นอนดึก และไม่ได้กำลังจะมีประจำเดือน) หรือที่ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า (waking up on the wrong side of the bed) เป็นสิ่งที่คนจำนวนมากเคยมีประสบการณ์มาก่อน

waking up


บทความโดย :  fb/เรื่องเล่าจากร่างกาย by หมอเอ้ว ชัชพล

ทำไมตื่นมาหงุดหงิด แล้ววันนั้นจึงแย่ทั้งวัน?
เคยเป็นแบบนี้ไหมครับ ?
ตื่นมาตอนเช้า แล้วรู้สึกหงุดหงิด อารมณ์ไม่ดีตั้งแต่ตื่นนอน
มันรู้สึกได้ว่า วันนี้สงสัยจะมีแต่เรื่องไม่ดีต่างๆเกิดขึ้น
แล้ว สุดท้ายมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ


   เช้านี้ ผมเป็นแบบนั้นเลยครับ เลยอยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังย่อๆ เผื่อใครเป็นแบบเดียวกัน จะได้เตรียมรับมือกับวันไม่ดีไปด้วยกัน

1  ประสบการณ์ที่ว่าตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกหงุดหงิด  ( ทั้งๆที่ไม่ได้นอนดึก และไม่ได้กำลังจะมีประจำเดือน) หรือที่ ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า ( waking up on the wrong side of the bed) เป็นสิ่งที่คนจำนวนมากเคยมีประสบการณ์มาก่อน

2  มีงานวิจัย ที่ช่วยยืนยันด้วยว่า อารมณ์ตอนตื่นนอนของเรา สามารถมีผลต่อ การทำงานของสมองวันนั้นทั้งวันได้ด้วย

3  เมื่อสมองทำงานได้ไม่ดี  วันนั้นจึงมักจะเต็มไปด้วย ความจำที่ผิดพลาด การตัดสินใจที่ผิดพลาด เล็กๆน้อยๆเต็มไปหมด สุดท้ายวันนั้นจึงมักจะกลายเป็นวันแย่ๆ

      เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว วันไหนที่ตื่นมาตอนเช้า แล้วไม่ค่อยสดชื่น อารมณ์ไม่ค่อยดี อาจจะต้องตระหนัก มีสติ และคอยเตือนตัวเองไว้ตลอดทั้งวันว่า วันนี้เราไม่เต็มร้อย เช่น 
ก่อนจะขับรถออกจากบ้านก็อาจจะตั้งสติ แล้วเตือนตัวเองว่าวันนี้เรา เสี่ยงจะหงุดหงิดระหว่างขับรถได้ง่ายกว่าปกติ หรือถ้าวันนั้นต้องทำงานใหญ่ ต้องตัดสินใจอะไรๆที่สำคัญ อาจจะต้องระวังให้มากกว่าปกติ เป็นต้น
       ส่วนสาเหตุ ของการตื่นมาแล้วหงุดหงิด ไม่สดชื่นนั้น มีมากมายหลากหลาย   

  • อาจจะเป็นจากการนอนที่ไม่ดี มีภาวะอุดตันทางเดินหายใจขณะหลับ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราจะคุยกัน  ( ใครสนใจเรื่องนี้ ลองกูเกิ้ลหา "ภาวะ sleep apnea"
  • อาจเป็นจากการที่เราอดนอนมาหลายวัน จนติดหนี้การนอน นอนเยอะแล้วก็ยังใช้หนี้ไม่หมดแต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่เราจะคุยกัน
ที่อยากจะคุยมันเป็นเรื่องของการตื่นจากนาฬิกาปลุกครับ

เรื่องมันมีอยู่ว่า ... ปกติ การหลับของเรามันจะแบ่งเป็นช่วงๆ หรือเรียกว่าเป็น stage ซึ่งแต่ละขั้นที่ว่า มันมีความลึกของการหลับไม่เท่ากัน ( ลึกมากรู้ตัวยาก ลึกน้อยรู้ตัวง่าย )
ถ้าให้เห็นภาพคือ จะเหมือนการดำพุดดำว่ายในน้ำ เริ่มจากตื้นๆก่อน คือระดับ 1 จากนั้นก็ลึกลงไปในระดับ 2-3 (แต่ก่อนแยกเป็น 3 และ 4 หลังๆเรียกรวมเป็น 3 อย่างเดียวไปเลย) จากนั้นก็จะมีระยะพิเศษ ที่เรียกว่า REM ซึ่งย่อมาจากคำว่า rapid eye movement ... ซึ่งแปลตรงตัวก็ได้ว่า ระยะที่ตากลอกไปมาอย่างรวดเร็ว ถ้าเราอดทนมากพอแล้วแอบมองดูเปลือกตาคนข้างๆระหว่างนอนหลับ เมื่อเขาเข้าระยะนี้ เราจะเห็นตา (ที่อยู่ใต้เปลือกตา) กลอกไปมา

     ที่นักวิทยาศาสตร์แยกการหลับออกมาเป็นขั้นๆนี้   ไม่ใช่อะไรครับ  ตอนแรกที่เริ่มศึกษาเกี่ยวกับการนอนหลับ เขาทดลองวัดคลื่นสมองไปด้วย แล้วพบว่า คลื่นสมองระหว่างนอนแต่ละช่วงมันไม่เหมือนกัน 

     เขาก็เดาว่า ในการหลับที่เห็นเงียบๆไปนั้น จริงๆแล้วมันมีการทำงานของสมองที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วง  แต่คำอธิบายว่า แต่ละช่วงสมองทำอะไรนั้น แรกๆนักวิทยาศาสตร์เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
(ตอนนี้พอรู้ละ แต่เรื่องมันยาว ไว้ผมจะเขียนออกมาเป็นหนังสือก็แล้วกันนะครับ)

ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ

      ขั้นของการหลับนั้น ปกติมันจะวนไปเรื่อยๆ เช่น 1-2-3-2 แล้วก็ REM  คือ เหมือนกับว่า ขั้นที่ 2 เป็นฐานที่มั่นหลัก จะหลับลึกต้องผ่าน 2 ก่อน จะหลับตื้นลงก็มาผ่าน 2 จะเข้า REM ก็ผ่าน 2 ก่อน วนไปวนมาเช่นนี้เรื่อยๆ รอบนึงก็จะกินเวลาประมาณ 90 นาที 

ดังนั้น  จะเห็นว่า เมื่อนาฬิกาปลุกดัง กริ๊งงงงงง ขึ้น 

... มันก็เหมือนกับว่า มีคนเอื้อมมือลงไปกระชากเราขึ้นมาจากน้ำอย่างรวดเร็ว !!!

ถ้าเวลานั้นเราหลับอยู่ในระดับลึก ตื่นมาเราจะมึนๆ ถ้าเราอยู่แถวตื้นๆ เราจะตื่นง่าย รู้ตัวเร็ว

โดยทั่วไป  ถ้าเรานอนเพียงพอมาตลอด หลังจากนอนไปแล้ว 6-7 ชั่วโมง เราจะว่ายวนเวียนอยู่ในระดับตื้นๆ เยอะหน่อย โอกาสที่นาฬิกาจะดังตอนเราอยู่น้ำตื้นก็มาก แต่ถ้าเราอดนอนมาหลายวัน หรือ นอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมง เรามีแนวโน้มจะวนเวียนอยู่ในระดับลึกๆ โอกาสที่จะถูกปลุกตอนกำลังหลับลึกก็จะมาก โอกาสตื่นมางัวเงียก็จะมาก ... 

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเราใช้ปุ่ม snooze หรือปุ่ม ขออีก 10 นาที เป็นไปได้ว่า ช่วง 10 นาที่นั้น เราอาจจะกำลังดำดิ่งลึกลงไปอีกรอบ และเมื่อนาฬิกาดังขึ้นอีกครั้ง เราก็มีโอกาสที่จะถูกปลุกตอนกำลังหลับลึก  


โดยสรุป   จะเห็นว่า การใช้ปุ่ม snooze นั้น มีโอกาสทำให้เรางัวเงียกว่าเดิม 

วิธีแก้ที่พอจะเป็นไปได้นะครับ

1    นอนให้พอ อันนี้ชัดเจน ไม่ต้องอธิบายมาก

2   นอนให้เป็นเวลาเดิม บ่อยๆ ซ้ำๆ สมองเราจะจำได้ แล้วเมื่อใกล้ถึงเวลาตื่น มันจะวนเวียนอยู่แถวระดับตื้นๆรอ

3  อาจใช้วิธีที่จะช่วยให้เราตื่นขึ้นได้ช้าๆ เช่น เปิดม่านกว้างหน่อย พอให้มีแสงแยงตาตอนเช้าๆ หรือ
ปลุกด้วยเสียงเพลงที่ไม่ดังมาก พอให้รบกวนการหลับทีละน้อย แล้วเราค่อยๆรู้ตัว

4  .... อืม... ยังคิดไม่ออกเหมือนกันครับ เอาเป็นว่า ถ้าเข้าใจหลักการแล้ว ก็พอจะไปปรับใช้ได้เอง  หรือใครมีวิธีดีๆก็แนะนำมาได้นะครับ


หวังว่าจะมีประโยชน์และขอให้ทุกคนรู้สึกสดชื่นตลอดทั้งวันนะครับ


บทความโดย : เรื่องเล่าจากร่างกาย by หมอเอ้ว ชัชพล



https://www.facebook.com/notes/4143183555698958/


  สั่งซื้อ หนังสือ ทางออนไลน์  


หนังสือแนะนำ : เซทหนังสือ เรื่องเล่าจากร่างกาย เล่ม 1-2  

    : หนังสือเล่มนี้จะนำท่านเดินทางไปยังส่วนต่างๆ ของโลก ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยมีคำถาม "ทำไม?" ทำหน้าที่เป็นเหมือนไกด์นำทาง คำถามเหล่านี้เมื่อดูผิวเผินจะเหมือนว่ามันไม่เกี่ยวข้องกันเลย แต่เมื่อการเดินทางของเราสิ้นสุดลง เราจะนำเรื่องราวต่างๆ ที่เราจะได้พบระหว่างทางมาร้อยเรียงเข้าด้วยกัน เพื่อให้เห็นเป็นภาพใหญ่ และเมื่อเราเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ดีแล้ว เราจะไปดูกันว่าเรื่องเล่าจากร่างกายเหล่านี้ จะช่วยนำทางเราเดินสู่ปัจจุบันและก้าวต่อไปในอนาคตได้อย่างไร | by หมอเอ้ว ชัชพล

     
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

 
miscthailand