10/24/65

กฐินพระคือผ้า กฐินข้าคือเงิน | เรื่องเพี้ยนๆ ในสังคมไทย ว่าด้วยเรื่อง ทอดกฐิน ตอนที่ ๒

กฐินพระคือผ้า กฐินข้าคือเงิน ... เรื่องเพี้ยนๆ ที่ควรเรียนให้รู้ทัน ที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ในสังคมไทยในปัจจุบัน ตอนที่ ๒ ...  โดย พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย


Kathin-1


“กฐินข้าคือเงิน” - หมายถึง กฐินที่ข้าพเจ้าชาวไทย ทอดกันในทุกวันนี้ถือว่า "เงิน" สำคัญที่สุด "ผ้า" เป็นส่วนประกอบเท่านั้น 

     คนไทยทอดกฐินกันทุกวันนี้ ไม่ได้สนใจเรื่องการผลัดเปลี่ยนไตรจีวรของภิกษุ ไม่ได้ติดใจเรื่องการสนับสนุนให้สงฆ์เกิดความสมัครสมานสามัคคีมีน้ำใจร่วมมือช่วยเหลือเกื้อกูลกันในกิจของสงฆ์ และของเพื่อนภิกษุด้วยกัน ... ทอดกฐินเสร็จ ถามกันว่า "ได้เงินเท่าไร" สนใจแค่นี้

ค่านิยมนี้ครอบงำความคิดของคนทั่วไป 

 ใครอยากจะเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน คิดอยู่เรื่องเดียว -  มีเงินพอหรือเปล่า ? 
 ค่านิยมนี้ครอบงำวัดหลายวัด - ถ้าเงินไม่ถึง อย่ามาจองกฐินวัดอาตมา !!  อย่างสุภาพที่สุดก็บอกว่า เปิดโอกาสให้คนที่มีกำลังมากกว่าเถอะโยม...  วัดจะได้ประโยชน์มากกว่า ?!

   ความผิดเพี้ยนนี้   เกิดจาสภาพสังคมด้วย นั่นก็คือ สมัยนี้ผ้าหาง่าย ไตรจีวรมีพอ ต้องพูดว่ามีเหลือเฟือ การผลัดเปลี่ยนไตรจีวรประจำปีของภิกษุไม่ใช่ปัญหา และไม่ใช่เรื่องน่าสนใจอีกต่อไป

      การอาศัยการทอดกฐิน-รับกฐิน-กรานกฐิน เป็นทางแสดงออกถึงความสมัครสมานของสงฆ์ก็พร่ามัวลงไปจนมองแทบไม่เห็น จนในที่สุดก็ไม่มีใครสนใจ 

      ทอดกฐินได้อานิสงส์แรง ที่เคยถือกันมาแต่กาลก่อน ก็ยังคงถือกันอยู่อย่างเหนียวแน่น แต่น้ำหนักของอานิสงส์เคลื่อนที่จาก ผ้า ไปอยู่ที่ เงิน
“องค์กฐิน” ของคนสมัยก่อนหมายถึงผ้า ที่จะนำไปถวายสงฆ์  (“เฉพาะผ้ากฐิน บางทีก็เรียกว่า องค์กฐิน”-พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔)

“องค์กฐิน” ของคนสมัยนี้หมายถึงพุ่มเงินที่แห่ไปในขบวนกฐิน 

 

ที่ว่ามานี้คือภาพรวมที่เป็นความหมายของคำว่า “กฐินข้าคือเงิน”

    เรื่องนี้ ถ้าไม่ทำความเข้าใจกันให้ดี เพื่อนก็จะขัดใจกัน นั่นคือ เมื่อเห็นว่ากฐินคือเงิน เช่นนี้แล้ว พอใครมาพูดว่า กฐิน คือผ้า ก็จะถูกมองว่าคนพูดแบบนี้ไม่เห็นความสำคัญของเงิน !!

    วัดจำเป็นต้องใช้เงิน การสร้างวัด การดูแลวัด การบูรณปฏิสังขรณ์วัด การบริหารจัดการวัด ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในวัด รวมความว่าทุกสิ่งทุกอย่างในกระบวนการที่จะทำให้วัดคงเป็นวัดอยู่ได้ต้องใช้เงินทั้งสิ้น จะมาว่าเงินไม่สำคัญได้อย่างไร ?  

เขาบอกว่า - กฐินคือผ้า   ไม่ได้บอกว่า- เงินไม่สำคัญ
ทำไมคิดไกลไปอย่างนั้นได้ ? 
เรื่องนี้จะว่าง่ายก็ง่ายนิดเดียว นั่นคือ แยกเงินออกจากกฐินให้เด็ดขาด กล่าวคือ ...
ทอดกฐิน คือถวายผ้าให้แก่สงฆ์
หาเงิน คือหาเงินให้วัด
แยกกันชัดๆ เป็นคนละเรื่องกันอยู่แล้ว

     ไม่มีใครปฏิเสธว่าวัดไม่จำเป็นต้องใช้เงิน หาเงินให้วัดจึงเป็นเรื่องดี จะหาด้วยวิธีไหนก็ช่วยกันหาไป คนที่บอกว่ากฐินคือผ้า ก็ไม่เคยไปคัดค้านขัดขวางการหาเงินเข้าวัด มีแต่จะช่วยหา แม้แต่จะหาเงินด้วยวิธีทอดกฐินนั่นเอง ก็สามารถทำได้  ไม่ได้ขัดข้อง อะไรเลย แต่ต้องไม่ทำให้กฐินเสียหลัก !!!

หลักของกฐินคือ ๑ เจ้าภาพเดียว  ๒ ผ้าผืนเดียว ง่ายๆ แค่นี้

ธรรมเนียมการจองกฐิน และคำว่า “กฐินสามัคคี” เป็นพยานยืนยันว่า คนเก่าเขาเข้าใจหลักนี้ดี 

    ทำบุญอื่นๆ ไม่ต้องจอง    ใครมาก่อนทำก่อน มาทีหลังก็ทำได้อีก ใครสะดวกเมื่อไรทำเมื่อนั้น แต่บุญกฐินทำอย่างนั้นไม่ได้ คนหนึ่งทอดแล้ว คนอื่นจะมาทอดซ้ำอีกไม่ได้ นี่คือเหตุผลที่ต้องจอง เพราะจะได้ไม่มาทอดซ้ำซ้อนกัน ทอดซ้ำซ้อนกันไม่ได้ เพราะกฐินมีได้เจ้าภาพเดียว 

    กฐินสามัคคี-เกิดจากแย่งกันเป็นเจ้าภาพ 

    เพราะเจ้าภาพมีได้รายเดียว รายหนึ่งได้ทอด รายอื่นๆ อด ถ้ามีเจ้าภาพได้หลายรายจะต้องแย่งกันทำไม เอ็งอยากทอดก่อน ทอดไป เดี๋ยวข้าทอดทีหลังก็ได้ แต่ทอดกฐินทำแบบนั้นไม่ได้ จึงต้องแย่งกันเป็นเจ้าภาพ ซึ่งก็คงทอดได้รายเดียวอยู่นั่นเอง ...

     ดังนั้นจึงเกิดความคิด ทุกรายรวมกันเป็นรายเดียว เป็นเจ้าภาพเดียว เท่ากับได้ทอดกฐินหมดทุกราย
นี่คือความหมายเดิมแท้ของคำว่า “กฐินสามัคคี” คือเริ่มต้นด้วยการแย่งกันเป็นเจ้าภาพ แล้วจบลงด้วยการรวมตัวเป็นเจ้าภาพร่วมกัน-เจ้าภาพเดียว

     เมื่อรวมตัวกันเป็นเจ้าภาพเดียวได้ ก็สอดคล้องกับ-ผ้าผืนเดียว เจ้าภาพเดียว ผ้าผืนเดียว ก็ถูกต้องแล้ว ไม่ต้องมีผ้าของใครของมัน เพราะทุกคนเป็นเจ้าของผ้าผืนเดียวนั้นร่วมกัน กฐินเป็นกองๆ กฐินเป็นคณะๆ ก็ไม่ต้องมี  จะแบ่งเป็นกองเป็นคณะเพื่อจะได้หาเงินได้เยอะๆ ก็แบ่งได้ แต่เมื่อจะน้อมนำผ้ากฐินเข้าไปถวายสงฆ์ ต้องรวมกันให้เหลือเพียงกองเดียวคณะเดียว ซึ่งนั่นก็หมายถึงเจ้าภาพเดียว และมีผ้าผืนเดียวที่ทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของ

ถ้าทำแบบนี้ เงินก็ยังหาได้ กฐินก็ไม่เสียหลัก ...
แต่ที่ทำกันทุกวันนี้ไม่ได้เป็นแบบนี้ !!! 

แบ่งกฐินเป็นกองๆ เป็นคณะๆ เพื่อที่จะได้หาเงินได้มากขึ้น ถึงเวลาถวาย ก็กองใครกองมัน คณะใครคณะมัน น้อมนำเข้าไปถวาย หาเงินได้มาก แต่เสียหลักของกฐิน นี่คือโทษที่มีมูลรากมาจากคติ “กฐินข้าคือเงิน”


     โทษอีกอย่างหนึ่งของการตีค่ากฐินเป็นเงิน -เป็นโทษที่นึกไม่ถึง-ก็คือ เท่ากับเป็นการกีดกันคนจนไม่ให้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพทอดกฐินนั่นเอง

     คนจน ทำได้อย่างเดียวคือบริจาคเงินตามมีตามเกิด ร่วมสมทบเป็นบริวารกฐิน แต่จะเป็นเจ้าภาพทอดกฐินเองไม่ได้ เพราะมี “กำแพงเงิน” ขวางทางไว้  พอจะไปจองกฐิน ถูกทัก-มีเงินเท่าไร วัดนี้เงินไม่ถึงไม่รับจอง จนแล้วยังไม่เจียมตัว สะเออะจะเป็นเจ้าภาพ ฯลฯ

    แม้ไม่พูดออกมาตรงๆ  ใจก็คิด ที่ใจคิดก็เพราะถูกครอบงำด้วยคติ - กฐินคือเงิน ทอดกฐินต้องมีเงิน

     ถ้าไม่ช่วยกันแยกเงินออกจากกฐิน แต่ยังพากันเห็นกฐินเป็นเงินอยู่อย่างนี้ ในที่สุดกฐินของพระพุทธองค์ก็จะเพี้ยนจนไม่เหลือเนื้อเดิม

     ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน กฐินมีเวลาทอดเพียง ๑ เดือน เราทอดกฐินในความหมายเดิม คือถวายผ้าให้สงฆ์ ได้บุญบริสุทธิ์ ทั้งยังรักษากฐินของพระพุทธองค์ให้เป็นกฐินบริสุทธิ์ได้ด้วย เราก็ยังมีเวลาอีกตั้ง ๑๑ เดือนที่จะช่วยกันหาเงินเข้าวัดได้สบายๆ

เจ้าภาพรายใด วัดไหน ทอดกฐินหาเงินเข้าวัดด้วย และไม่ทำให้กฐินเสียหลักด้วย ขอกราบอนุโมทนาสาธุมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

       ผู้คนที่มองเห็นกฐินเป็นเงิน เราคงห้ามไม่ได้ แต่ที่พอจะทำได้ก็คือ ขอร้องขอแรงให้ช่วยกันศึกษาหาความรู้เรื่องกฐิน-และทุกเรื่องที่เป็นหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา -ศึกษาไปให้ถึงต้นเรื่องต้นเค้าเดิม จนได้ความรู้ที่ถูกต้องว่าเรื่องเดิมเป็นอย่างไร แล้วช่วยกันเผยแผ่ความรู้นั้นให้แพร่หลายต่อไป

        คนที่รู้และเข้าใจแล้ว เมื่อเห็นสิ่งที่ทำกันอยู่ในปัจจุบัน จะได้มองออกบอกถูกว่า ตรงกันหรือต่างกัน กับของเดิมอย่างไร ?   ต่อจากนั้น ก็จะสามารถกำหนดท่าทีของตัวเองได้ว่าควรทำอย่างไร หรือไม่ควรทำอย่างไร ...

        เวลานี้จุดอับ จุดอ่อน หรือจุดบอดของพวกเราชาวพุทธก็คือ   ไม่มีอุตสาหะที่จะศึกษาเรียนรู้ไปให้ถึงต้นเรื่องต้นเค้า แต่ใช้วิธีจับเอาเฉพาะที่เห็นที่ทำกันในปัจจุบัน แล้วตัดสินผิดถูกไปตามความเห็นของตัวเอง เรื่องเพี้ยนๆ จึงเกิดขึ้น คงอยู่ และดำเนินต่อไปไม่จบสิ้น

        เมื่อก่อน โครงสร้างการบริหารงานคณะสงฆ์ของเรามีองค์การศึกษา และองค์การเผยแผ่ ซึ่งนับว่าเหมาะสมมาก คือ องค์การศึกษาทำหน้าที่ส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรเรียนรู้หลักพระธรรมวินัย องค์การเผยแผ่ทำหน้าที่ส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรเผยแผ่ความรู้ที่ได้มาไปสู่สังคม ...

พอเปลี่ยนมาเป็นมหาเถรสมาคม องค์การทั้งหลายที่เคยมีก็สลายตัว ตัวบุคคลที่รับผิดชอบงานก็พร่ามัว การลงมือทำงานก็เลือนราง..


ขอให้ช่วยกันศึกษาหาความรู้ ก็เหมือนพูดกับลม
ขอให้ช่วยกันเผยแผ่ความรู้ที่ได้มาไปสู่สังคม ก็เหมือนพูดกับอากาศ
แม่ทัพนายกองของเรามีครบ
แต่งเครื่องรบพร้อม
แต่ไม่ออกรบ ใครจะทำไม



พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
๒๑ ตุลาคม ๒๕๖๕
๑๘:๓๑



 
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

 
miscthailand